กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--มิชลิน
มิชลินและทีมปฏิบัติการประจำพื้นที่ของแต่ละทีมแข่งต้องเผชิญกับสภาพสนามแข่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนในการแข่งขัน 'พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์' (PTT Thailand Grand Prix) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งต้องผจญกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุซึ่งส่งผลต่อสภาพพื้นสนามแข่งอย่างมาก
มิชลินได้มีโอกาสเยือนสนามแข่งระยะทาง 4,554 เมตรของไทยแห่งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อทำการทดสอบรถแข่งก่อนเปิดฤดูกาลแข่งขัน ในเวลานั้นอุณหภูมิสนามแข่งอยู่ที่ 49 องศาเซลเซียส แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันแข่งขันจริง อุณหภูมิกลับพุ่งสูงถึง 56 องศาเซลเซียส โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเนื่องจากตามปกติช่วงเวลานี้ของปีเป็นช่วงฤดูมรสุมของไทยที่อุณหภูมิมักจะลดต่ำลง มิชลินได้เลือกประเภทยางสำหรับใช้ในสนามแข่งเอาไว้ก่อนฤดูกาลแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นภายใต้แนวความคิดดังกล่าวและตามกฎระเบียบที่กำหนด โดยเชื่อว่าจะเหมาะกับสนามแข่งแห่งนี้
เมื่ออุณหภูมิสนามแข่งสูง ศักยภาพของยางในการยึดเกาะพื้นสนามแข่งจะอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้เกิดอาการล้อหมุนฟรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของมิชลินจึงแนะนำให้บรรดานักบิดเลือกใช้ยาง 'มิชลิน พาวเวอร์ สลิค' (MICHELIN Power Slick) แบบเนื้อยางแข็ง (Hard) เป็นยางล้อหลัง ซึ่งนักบิดส่วนใหญ่เลือกใช้ยางรุ่นนี้ตามคำแนะนำ ยกเว้นแต่ 'อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร่' (Aleix Espargaro) นักบิดทีม 'อพริเลีย เรซซิ่ง ทีม เกรซินี' (Aprilia Racing Team Gresini) ที่เลือกใช้ยางเนื้อนิ่ม (Soft) นอกจากนี้ มีนักบิดจำนวนไม่มากนักที่เลือกใช้ยางเนื้อแข็งปานกลาง (Medium) เป็นยางล้อหน้า ขณะที่นักบิดส่วนใหญ่ที่เหลือเลือกใช้ยางเนื้อแข็ง ทั้งนี้ ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งมีการแข่งทั้งหมด 26 รอบสนาม มีการเลือกใช้เนื้อยางรวมทั้งสิ้น 4 ประเภทจากทั้งหมด 6 ประเภท
'มาร์ค มาร์เกซ' (Marc Marquez) จากทีม 'เรปโซล ฮอนด้า' (Repsol Honda Team) ได้ออกตัวจากตำแหน่งหัวแถว หรือ Pole Position ในช่วงบ่ายของวัน และทะยานขึ้นเป็นผู้นำฝูงหลังผ่านการแข่งขันรอบแรก โดยครองตำแหน่งผู้นำในช่วง 4 รอบแรกของการแข่งขันก่อนที่ 'วาเลนติโน่ รอสซี่' (Valentino Rossi) นักบิดทีม 'มูฟวี่สตาร์ ยามาฮ่า โมโตจีพี' (Movistar Yamaha MotoGP) จะเบียดแซงขึ้นมาเป็นผู้นำและรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ถึง 6 รอบสนาม จากนั้น 'อันเดรีย โดวิซิโอโซ' (Andrea Dovizioso) นักบิดทีมดูคาติ (Ducati Team) ได้จังหวะเบียดแซงขึ้นมาเป็นผู้นำและพยายามรักษาระยะห่างด้วยการทำเวลาต่อรอบที่เร็วและควบคุมการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นมาร์เกซก็ไล่จี้ขึ้นมาและขับเคี่ยวกันอย่างสูสี ผลัดกันนำผลัดกันแซงในช่วง 2-3 รอบสุดท้ายให้ลุ้นระทึกอย่างน่าตื่นเต้น ก่อนที่มาร์เกซจะเบียดแซงหน้าในโค้งสุดท้ายจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยเฉือนเอาชนะ 'โดวิซิโอโซ' ไปเพียง 0.115 วินาที ขณะที่อันดับ 3 เป็นของ 'มาเวอริค บีญาเลส' (Maverick Viñales) นักบิดทีม 'มูฟวี่สตาร์ ยามาฮ่า โมโตจีพี' ทำให้ตำแหน่ง 3 อันดับแรกเป็นของค่ายรถต่างกัน 3 ค่าย ด้าน 'รอสซี่' คว้าอันดับ 4 ตามมาด้วย 'โยฮันน์ ซาร์โก' (Johann Zarco) จากทีม 'มอนสเตอร์ ยามาฮ่า เทค 3' (Monster Yamaha Tech 3) ในอันดับที่ 5 โดยเป็นนักบิดจากทีมอิสระคนแรกที่เข้าเส้นชัย (First Independent Rider), 'อเล็กซ์ รินส์' (Alex Rins) จากทีม 'ซูซูกิ เอ็กซ์สตาร์' (Team SUZUKI ECSTAR) อันดับ 6, 'คาล ครัทช์โลว์' (Cal Crutchlow) จากทีม 'แอลซีอาร์ ฮอนด้า' (LCR Honda) ปาดแซงหน้านักบิดที่ทำเวลาเร็วประจำสนาม 'อัลวาโร เบาติสตา' (Alvaro Bautista) จากทีม 'แองเจิล เนียโต้' (Angel Nieto Team) ขึ้นครองอันดับเจ็ด ในขณะที่ 'ดานิโล่ เปตรุซซี่' (Danilo Petrucci) จากทีม 'อัลมา พรามัค เรซซิ่ง' (Alma Pramac Racing) เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 9 ตามมาด้วย 'แจ็ค มิลเลอร์' (Jack Miller) นักบิดเพื่อนร่วมทีม ที่ปิดท้ายติดอันดับ 1 ใน 10 คนแรกที่เข้าเส้นชัย
ยางมิชลินที่คัดสรรมาเป็นตัวเลือกสำหรับใช้เป็นยางล้อหลังในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับการออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่จังหวัดบุรีรัมย์โดยเฉพาะ โดยยางล้อหน้าและหลังที่มีให้เลือกทั้ง 7 แบบ ซึ่งครอบคลุมยางล้อหลังเนื้อแข็งปานกลาง 2 แบบ ล้วนผ่านการทดลองและทดสอบโดยนักบิดส่วนใหญ่แล้ว แต่ด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจัดมากการเลือกใช้ยางเนื้อแข็งเป็นยางล้อหลังถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสอดคล้องกับคำแนะนำที่มิชลินให้กับบรรดานักบิดและทีมแข่ง การตัดสินใจครั้งนี้ก่อให้เกิดการประลองความเร็วที่น่าตื่นเต้นเร้าใจต่อหน้าผู้ชมจำนวน 100,245 คน ซึ่งอัดแน่นเต็มอัฒจันทร์ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีสันและความคึกคัก
หลังจากนี้ มิชลินและทีมปฏิบัติงานประจำพื้นที่เก็บรถข้างสนามของทีมแข่งในการแข่งขันโมโตจีพีครั้งนี้จะกลับประเทศที่เป็นฐานประจำการของตนเองก่อนออกเดินทางอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระยะเวลา 3 สัปดาห์ในทวีปเอเชียที่ประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และมาเลเซีย ประเดิมด้วยรายการ 'เจแปนีซ กรังด์ปรีซ์' (Japanese Grand Prix) ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคมศกนี้
มาร์ค มาเกซ
นักบิดทีม 'เรปโซล ฮอนด้า'
"วันนี้เป็นวันที่เยี่ยมยอดมาก การแข่งขันครั้งนี้ทำให้ทีมเรามีข้อได้เปรียบมากขึ้น โดยจะมีโอกาสทำคะแนนสะสมตีตื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น สำหรับการแข่งขันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เราทำงานกันหนักมากท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนจัดและสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก อีกทั้งสภาพสนามแข่งยังหฤโหดมาก มิชลินได้นำเสนอยางล้อหลังหลายแบบไว้เป็นทางเลือกและได้ปรับวิธีการติดตั้งยางให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของการแข่งขัน เพื่อช่วยให้นักบิดทำผลงานได้ดีท่ามกลางสภาพแวดล้อม
สุดหฤโหดนี้และเพื่อให้ยางทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดการแข่งขัน ทุกคนพยายามป้องกันปัญหาล่วงหน้าเพราะคาดว่าศักยภาพยางจะลดลงในช่วงท้ายๆ เนื่องจากยางต้องวิ่งบนสนามแข่งซึ่งบางช่วงเวลามีอุณหภูมิสูงเกือบ 60 องศาเซลเซียส ผมมีปลาบปลื้มยินดีในชัยชนะครั้งนี้อย่างยิ่ง และจะสู้ให้เต็มที่เพื่อครองตำแหน่งบนโพเดียม ณ สนามแข่งในประเทศญี่ปุ่น"
ปิเอโร ทารามัสโซ่ (Piero Taramasso)
ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของมิชลิน
"การแข่งขันสัปดาห์นี้มีข้อเรียกร้องสูงและสถานการณ์ที่ซับซ้อนมาก ยางต้องรับความเค้นสูงจากอุณหภูมิที่ร้อนจัด ตอนที่เรามาทดสอบสนาม เราได้รับข้อมูลว่าในช่วงการแข่งจริง อุณหภูมิจะเย็นลงและอาจมีฝน เราจึงจัดยางตัวเลือกไว้สำหรับรองรับสถานการณ์ดังกล่าว แต่กลับกลายเป็นว่าสภาพแวดล้อมตรงข้ามกับที่คิดไว้เลย บรรดานักบิดได้ทดลองยางแบบต่างๆ ในช่วงขับทดสอบ โดยเราได้วิเคราะห์ศักยภาพและความทนทานของเนื้อยางทุกแบบ ก่อนจะให้คำแนะนำเรื่องการเลือกยางที่เหมาะสมแก่นักบิดและทีมแข่งเช่นที่ทำก่อนการแข่งขันทุกครั้ง การแนะนำให้ใช้ยางเนื้อแข็งเป็นยางล้อหลังพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ส่งผลให้การแข่งขันเร้าใจยิ่งขึ้นด้วยศักยภาพการทำเวลาต่อรอบที่สม่ำเสมอ ทั้งยังมีการขับเคี่ยวกันอย่างสูสีระหว่างมาร์คกับอันเดรียในช่วงท้ายของการแข่งขันให้ได้ลุ้นระทึก ศักยภาพการทำงานของยางเป็นไปด้วยดีตลอดการแข่งขันแม้ต้องเผชิญกับความร้อนสูงและถูกใช้งานอย่างหนักบนสนามแข่ง เราพอใจกับศักยภาพโดยรวม การตัดสินใจเลือกยางก่อนล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะการเลือกให้เหมาะกับสนามแข่งที่เราไม่เคยลงแข่งมาก่อน แต่ด้วยข้อมูลที่ได้ในปีนี้ เราจะมีความพร้อมมากขึ้นในการเลือกยางที่เหมาะสำหรับสนามแข่งที่บุรีรัมย์ก่อนเริ่มการแข่งขันฤดูกาลหน้าอย่างแน่นอน
ผมขอแสดงความยินดีกับผู้จัดการแข่งขันสำหรับความสำเร็จในการจัดงาน เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ผู้คนอัธยาศัยดี และบรรยากาศในวันนี้ก็น่าประทับใจ เราตั้งตารอที่จะกลับมาแข่งที่นี่อีกครั้งในปีหน้า
ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณนักบิดทุกคนและทีมแข่งทุกทีมที่รับฟังคำแนะนำจากเรา และนำไปใช้อย่างเหมาะสมทำให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นประสบการณ์เชิงบวกที่เยี่ยมยอด"
รอสส์ ชิลด์ส (Ross Shields)
ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ประจำภูมิภาคเอเชียของมิชลิน
"การเข้าร่วมสนับสนุนโมโตจีพีเป็นการตอกย้ำจุดยืนของมิชลินในการทุ่มเทพัฒนายางรถจักรยานยนต์ประสิทธิภาพสูงเพื่อทุกสภาพการขับขี่ โดยมุ่งนำเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาสู่ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ในประเทศไทย ตลาดยางรถจักรยานยนต์มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยยางมิชลินครองความเป็นหนึ่งในฐานะยางสมรรถนะสูง มีประสิทธิภาพในการต้านทานการบาดตำ ให้ความปลอดภัย และคุ้มค่าสมราคา การเปิดโรงงานผลิตยางรถจักรยานยนต์ที่พระประแดง ไม่เพียงช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำตลาดภายในประเทศ แต่ยังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตยางรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์มิชลิน 1 ใน 4 แห่งของโลก เพื่อวางจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งเพื่อป้อนโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ชั้นนำ อาทิ ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน (Harley Davidson), บีเอ็มดับบลิว (BMW), ดูคาติ (Ducati) และ ฮอนด้า (Honda)
จากนี้ไปเราจะเร่งทำตลาดยางรถจักรยานยนต์ในไทยให้มากขึ้นด้วยจุดยืนในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยไม่เพียงจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วไปและผู้ใช้รถจักรยานยนต์แบบบิ๊กไบค์ แต่จะส่งเสริมให้ตัวแทนจำหน่ายเร่งพัฒนาเครือข่ายจัดจำหน่ายของตนให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมทั้งรุกผนึกกำลังกับตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในไทยสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ยางรถจักรยานยนต์ของเราได้ง่ายขึ้นทั่วประเทศ"
เกี่ยวกับมิชลิน
มิชลิน ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมยางรถยนต์ มุ่งมั่นส่งเสริมการสัญจรของลูกค้าอย่างยั่งยืน ออกแบบและจัดจำหน่ายยางที่เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด ตลอดจนให้บริการและโซลูชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งครอบคลุมการให้บริการทางดิจิตอล การจัดทำคู่มือและแผนที่สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร รวมถึงการพัฒนาวัสดุทางเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมการสัญจร กลุ่มมิชลินมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแกลร์มง-แฟร็อง ประเทศฝรั่งเศส และมีสำนักงานสาขาอยู่ในกว่า 171 ประเทศ โดยมีพนักงาน 114,000 คนทั่วโลก และมีโรงงานผลิต 70 แห่งใน 17 ประเทศ ซึ่งผลิตยางรวมกันได้สูงถึง 190 ล้านเส้นในปี 2560 คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.com