BGC พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก 18 ต.ค.นี้ โรงงานบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน ดันกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 3,495 ตันต่อวันหนุนการเติบโต

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 16, 2018 12:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ต.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BG Container Glass Public Company Limited) ("บริษัทฯ" หรือ "BGC") และบริษัทย่อย ("กลุ่มบริษัทฯ") บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก 18 ตุลาคมนี้ พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 400 ตันต่อวัน รวมเป็นประมาณ 3,495 ตันต่อวัน รองรับแผนการขยายตลาดในประเทศและส่งออกเพื่อสร้างการเติบโต นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "BGC") และบริษัทย่อย ("กลุ่มบริษัทฯ") ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก ในวันที่ 18 ตุลาคม 2561 หลังจากปิดการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 194,444,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่ให้ความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯ จะนำเงินจากการระดมทุนไปชำระเงินกู้ยืมที่ใช้สำหรับขยายโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรีและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วที่จังหวัดปทุมธานี ขอนแก่น ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา และจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วและเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 400 ตันต่อวัน รวมเป็น 3,495 ตันต่อวัน เพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศและส่งออก เช่น ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และการผลิตสินค้าที่หลากหลาย นอกจากนี้โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรียังสามารถขยายจำนวนเตาหลอมแก้วได้อีกในอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวด 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2561) มีกำไรสุทธิ 270.1 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 121.7 ล้านบาทหรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 122.0 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนคงที่ปรับลดลงจากการย้ายฐานการผลิตจากโรงงานระยองที่ปิดตัว ไปยังเตาที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ "บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ โรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีจะช่วยตอบโจทย์ในการขยายการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในอนาคต โดยมองว่าโรงงานผลิตที่จังหวัดราชบุรีตั้งอยู่ในยุทธศาตร์ที่สำคัญ รวมทั้งมีกระบวนการผลิตที่ยืดหยุ่นซึ่งจะช่วยในการขยายลูกค้าและตลาดใหม่ของบริษัทฯ" นายศิลปรัตน์ กล่าว นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า BGC เป็นบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย จึงมีความได้เปรียบด้านการควบคุมต้นทุนการผลิตต่อหน่วยให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีโรงงานที่กระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัด ส่งผลดีการบริหารต้นทุนโลจิสติกส์และการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีต้นทุนที่เหมาะสม "ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แก้วเป็นสินค้าที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และคาดว่าจะมีความต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ 100% และซัพพลายในตลาดยังมีจำกัดเนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย" นายพงศ์ศักดิ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ