กรุงเทพฯ--17 ต.ค.--ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง
TPCH ส่งซิกงบQ3 แจ่ม เล็งซื้อกิจการ หวังดันกำลังผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มแตะ 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 ด้าน ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิต TPCH ที่ "BBB" ด้วยแนวโน้ม "Stable" การันตีผลงานดีต่อเนื่อง ฟากโบรกฯ ประสานเสียง แนวโน้มกำไรเติบโตแนะซื้อพร้อมให้ราคาเป้าหมาย 13 บาท
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส3/61 จะมีกำไรเติบโตดีอย่างน่าพอใจ จากกำลังการผลิตที่อยู่ในเกณฑ์ดีและมีการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ มั่นใจว่า บริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรที่ดี โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อีกประมาณ 50 เมกะวัตต์ ขณะที่ปัจจุบันมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD)แล้วจำนวน 60 เมกะวัตต์
" บริษัทฯ ยังคงเป้าหมาย มีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 โดยในปีนี้เรามีการ COD แล้ว 60 เมกะวัตต์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อีกราว 50 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังการผลิตทั้งสิ้น 110 เมกะวัตต์ ซึ่งเหลืออีกราว 90 เมกะวัตต์ และเพื่อการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว การพิจารณาเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติม ก็อยู่ในแผนที่จะดำเนินการ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอย่างรอบคอบโดยเฉพาะเรื่องความคุ้มทุน ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยการจัดอันดับเรทติ้ง" นายเชิดศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศจัดอันดับเครดิตองค์กรของ TPCH ที่ระดับ "BBB" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ และแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงไฟฟ้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของปริมาณและราคาของวัตถุดิบสำหรับป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวล ตลอดจนความเสี่ยงในการดำเนินการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และระดับการก่อหนี้ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 3,000 ล้านบาทในปี 2564 จากประมาณ 1,600 ล้านบาทในปี 2561 และประเมินว่า บริษัทฯจะยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยราคาขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ต่ำจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทฯ ซึ่งจะเร่งให้เกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตอยู่ที่ระดับ "Stable" หรือ คงที่ โดยการประเมินอันดับเครดิตดังกล่าว สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่คาดไว้ โดยที่โครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะสร้างแล้วเสร็จตามแผนและสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทย่อยนั้น การเปลี่ยนแปลงใดใดต่ออันดับเครดิตองค์กรของบริษัทไทยโพลีคอนส์ก็จะส่งผลต่ออันดับเครดิตองค์กรของบริษัทด้วยเช่นกัน
บริษัทหลักทรัพย์ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุว่า TPCH กำลังจะเข้าสู่ระยะเติบโตรอบใหม่ และคาดว่าจะมีกำไรเติบโตสูงขึ้นในไตรมาส 3/61 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มีกำไรสุทธิแข็งแกร่งถึง 90 ล้านบาทในไตรมาส 2/61 แต่ยังต่ำกว่าประมาณการของเรา 25% เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลสตูล กรีน เพาเวอร์ (SGP) และโรงไฟฟ้าชีวมวลทุ่งสัง กรีน (TSG) เลื่อนกำหนดเปิดดำเนินงาน บวกกับต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น ทำให้ต้องปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นลง 48.4-57.8% ในปี 2561-2562 แต่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตสูงขึ้นในไตรมาส 3/61 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า แม้ยังขาด Catalyst ในกลุ่มพลังงานทดแทน จากรัฐชะลอการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งทำให้มองศักยภาพการเติบโตจากการได้กำลังผลิตเพิ่มในอนาคตด้อยลง แต่คาดบริษัทยังมีกำไรโตใน 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) เฉลี่ย 24.8% และที่ราคาปัจจุบัน เทรดที่ PE ปีนี้ ที่ 11.6เท่าจะลดลงเหลือ 8เท่า ในปี 2563 โดยยังรอ กกพ.ประกาศรายชื่อโรงไฟฟ้าขยะชุมชน (โครงการ Quick Win) ที่ผ่านการพิจารณาความพร้อมภายในสิ้นเดือนต.ค. นี้ (ล่าช้ามาจากเดิมเม.ย.)โดยโรงไฟฟ้า SP ยื่นขอขนาดกำลังผลิต10 เมกะวัตต์ คงคำแนะนำ ซื้อ คงราคาเป้าหมาย 13 บาท