กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--บลจ. แอสเซท พลัส
บลจ. แอสเซท พลัส ส่งกองทุนเปิด แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ (ASP-INDIA) คว้าโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นอินเดีย เชื่อการพลังประชากรหนุนภาคบริโภคดันเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง เสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันนี้ - 2 พ.ย. 2561 ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด (บลจ. แอสเซท พลัส) เปิดเผยว่า ประเทศอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการมีประชากรจำนวนมาก ก่อให้เกิดการขยายตัวของภาคบริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียมีโอกาสเติบโตและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว ให้แก่ผู้ลงทุน บลจ. แอสเซท พลัส จะเสนอขายกองทุนเปิด แอสเซทพลัส อินเดีย ไดนามิกส์ อิควิตี้ (ASP-INDIA) เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นประเทศอินเดีย โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุน Feeder Fund ตราสารทุน ระดับความเสี่ยง 6 มีนโยบายเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ คือ กองทุน UTI India Dynamic Equity Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งโดยผู้จัดการกองทุนเป็นคนในประเทศอินเดีย มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการกองทุนมาถึง 18 ปี และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบทั้งหมดในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ1 ทั้งนี้ กองทุน ASP-INDIA มีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท กำหนดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันนี้ - 2 พ.ย. 2561 ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท ภายหลัง IPO ทุกวันทำการซื้อขายของกองทุน2 ตั้งแต่เวลาเปิดทำการ จนถึง 15.00 น.
นายรัชต์ กล่าวต่อว่า เรามองว่า เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขับเคลื่อนโดยพลังประชากร รวมถึงภาคบริการและอุตสาหกรรม โดยเห็นได้จากการอันดับ GDP โลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจอินเดียแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าในปี 2030 GDP ของอินเดียจะขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ของโลก (Source: Bloomberg as of 31 August 2018, *Standard Chartered Research Estimate, **Reserve Bank of India) โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโต 3 ปัจจัย ได้แก่
1. การขยายตัวของทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ ในปัจจุบันประเทศอินเดียมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และคาดว่าจะเป็นอันดับ 1 ในปี 2024 รวมถึงในปี 2020 ประชากรอินเดียจะมีอายุเฉลี่ยต่ำที่สุดในโลก ซึ่งกว่า 63% จากประชากรทั้งหมดเป็นประชากรวัยทำงาน (Source: UN World Population Prospects 2017, CIA, Bloomberg as of 6 August 2018) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ประเทศอินเดียยังมีการพัฒนาการทางด้านการศึกษาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนประชากรอินเดียที่มีทักษะในการอ่านและเขียนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีสัดส่วนแรงงานที่มีทักษะฝีมือเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงระดับความยากจนที่ลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา
2. การที่ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น นำขึ้นไปสู่การจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น โดยในทศวรรษที่ผ่านมาประชากรอินเดียมีรายได้ที่สูงขึ้น เฉลี่ยปีละ 6.90% (Source: ieconomics) ส่งผลให้มีกำลังซื้อที่สูงขึ้น และมีการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้นตามไปด้วย หนุนให้ภาคบริโภคมีการขยายตัว โดยในปัจจุบันการบริโภคส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียมาจากสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 เช่น อาหาร ที่อยู่ อาศัย การเดินทาง
3. มีการสนับสนุนจากภาครัฐบาลที่เป็นรูปธรรม อาทิเช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการดูแลประชากรให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรอินเดีย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบภาษี ส่งผลให้สินค้าบางประเภทราคาต่ำลง ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ อีกทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศหันมาลงทุนในประเทศอินเดียตามนโยบาย Made in India โดยได้มีการปรับลดข้อกำหนดเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆลง เพื่อให้การลงทุนในอินเดียง่ายขึ้น เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีสารสนเทศโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลอินเดีย
จะเห็นได้ว่าปัจจัยข้างต้น ส่งผลดีต่อทิศทางในการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการโอกาสเติบโตของกลุ่มธุรกิจ และการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของประชากรที่เป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประกอบกับมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ที่แสดงถึง อัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในประเทศอินเดียซึ่งอยู่ในระดับสูงประมาณ 20% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (Source: Bloomberg as of 31 August 2018) และมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงที่สุดในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Source: Bloomberg as of 31 August 2018) ด้วยเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้เรามองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดยังคงมีความผันผวนจากการเก็งกำไรระยะสั้นของผู้ลงทุนรายย่อยจึงเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนของตลาดหุ้นในต่างประเทศได้สูงและพร้อมสำหรับการลงทุนในระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียในอนาคต
ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในกองทุน ASP-INDIA ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกเพียง 5,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ บลจ. แอสเซท พลัส ติดต่อ Asset Plus Customer Care 0 2672 1111 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.assetfund.co.th หรือติดต่อผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของ บลจ. แอสเซท พลัส
ผู้ลงทุน "โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน"
1 กองทุน ASP-INDIA มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในต่างประเทศในสภาวการณ์ปกติกองทุน จะทำการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบทั้งหมดในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าเงินลงทุนต่างประเทศ อย่างไรก็ดีในกรณีที่สภาวการณ์ไม่ปกติกองทุนอาจพิจารณาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน 2 วันทำการซื้อขายของกองทุน หมายถึง วันทำการปกติของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด, บริษัทจัดการกองทุนต่างประเทศที่ไปลงทุน, และประเทศที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน (ถ้ามี)