กรุงเทพฯ--29 ต.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.เออีซี แนะจับตาการประกาศตัวเลข เศรษฐกิจ ที่มีผลต่อการพิจารณาแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FED มองตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยให้กรอบ แนวรับ 1,600 จุด และแนวต้าน 1,655 จุด แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มที่มีกำไรโตต่อเนื่อง KBANK , TISCO , WHA , BDMS , SAWAD , HANA , SCCC , INTUCH , HMPRO
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ แต่หากพิจารณาสัญญาณทางเทคนิคจะเห็นได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย เริ่มมีสัญญาการฟื้นตัวในกรอบสั้นๆ โดยยังลุ้นการฟื้นตัวตามระดับราคาที่จะค่อยๆ ปรับตัวสร้างฐานจากด้านล่าง ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ที่ 1,600-1,655 จุด
พร้อมแนะกลยุทธ์ เน้นเทรดดิ้งตามกรอบ โดยคาดตลาดแกว่งออกข้างเพื่อสร้างฐาน ภายใต้เงื่อนไขว่า ตลาดไม่ควรวกกลับลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด เนื่องจากจะทำให้ตลาดกลับมาผันผวน และ Downside ด้านล่างจะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
ฝ่ายวิจัย มองว่า จากสภาวะที่ SET Index มีแนวโน้มกลับตัว จึงแนะนำหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มที่ Consensus คาดกำไรช่วง 3Q61, 4Q61 และปี 61-62 โตต่อเนื่อง YoY ได้แก่ KBANK (S202,R215) , TISCO (S76.5,R82), WHA (S4.00,R4.20), BDMS (S24,R26) 2) หุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากกว่า 10%YTD และคาดกำไรทั้งปี 61-62 โต YoY ได้แก่ SAWAD (S40,R44), HANA (S34,R37.5) และ 3) หุ้นกลุ่มที่ Bloomberg Consensus คาดประกาศงบช่วง 3Q61 ในสัปดาห์นี้ อีกทั้งคาดกำไรช่วง 3Q61, 4Q61 และทั้งปี 61 โต YoY ได้แก่ SCCC (S235,R250), INTUCH (S51,R55), HMPRO (S14.1,R15.2)
ส่วนปัจจัย ที่ต้องจับตาในต่างประเทศ ได้แก่ การประกาศตัวเลข เศรษฐกิจที่เป็น Leading Indicator ของการบริโภคภาคครัวเรือนของเดือน ก.ย. ทั้งในส่วนของดัชนี PCE, การใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวเลขที่มีผลต่อการพิจารณาแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ FEDและส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ US Bond Yield โดยหากตัวเลขดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด จะทำให้ US Bond Yield กลับมาขยับขึ้นต่อ และกดดัน EYG ให้ต่ำลง
นอกจากนี้ S&P รายงานผลประเมิน Rating ของอิตาลี ซึ่งแม้จะคง Rating ที่ BBB เช่นเดิม สูงกว่า rating ของ Junk bond 2 ระดับ แต่ลด Outlook เป็นNegative จากภาระการคลังที่สูงขึ้นมาก พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 62-63 เหลือ 1.1%YoY จากเดิมที่ 1.4%YoY ซึ่งคาดส่งผลต่อ CDS Spread ให้ดีดตัวขึ้น และส่งผลต่อไปยัง Bond Yield ของอิตาลีให้ปรับขึ้นตาม ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นยุโรป
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาในสหรัฐฯ มีบริษัทใหญ่หลายบริษัทที่ประกาศกำไรต่ำกว่าคาด จนเป็นสาเหตุหลักของการที่ DJIA ปรับลงในสัปดาห์ก่อน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลง และผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เราจึงมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในสหรัฐฯ ที่เหลือยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก เป็น Noise ในช่วงสั้นของตลาดสหรัฐฯ