กรุงเทพฯ--29 ต.ค.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 29 ตุลาคม 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,227.40-1,235.42 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 19,350 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,350บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV18 อยู่ที่ 19,410 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 40 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,450 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 16.01 น. ของวันที่ 29/10/61)
แนวโน้มวันที่ 30 ตุลาคม 2561
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นแรงหนุนดอลลาร์ ขณะที่ข้อมูลผลผลิตภายในประเทศจีนที่ชะลอลง รวมทั้งแนวโน้มที่ผู้ส่งออกรู้สึกถึงผลกระทบจากภาษีของสหรัฐต่อสินค้าจีน สะท้อนผ่านการเปิดเผยข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ว่า ผลกำไรทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 4.1% ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบจากปีก่อน สู่ 7.857 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราในเดือนส.ค. การขยายตัวของผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมจีนชะลอลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนก.ย. และเป็นระดับชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. ข้อมูลดังกล่าวกดดันสกุลเงินหยวนให้อ่อนค่า ลงสู่ระดับ 6.953 ต่อดอลลาร์ จนส่งผลให้หยวนอาจจะอ่อนค่าลงแตะระดับ 7.0 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นแรงหนุนดอลลาร์ให้ปรับขึ้นและเคลื่อนไหวใกล้กับจุดสูงสุดรอบ 10 สัปดาห์ จนสร้างแรงกดดันราคาทองคำ นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจอิตาลี สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินยูโร หลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) แม้ว่าจะคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ไว้ที่ BBB แต่ปรับลดความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับเชิงลบ จากเดิมอยู่ที่ระดับมีเสถียรภาพ นั่นหมายความว่า อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้อิตาลีซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ BBB อาจถูกปรับลดลงในวันข้างหน้า โดย S&P ระบุว่า แผนนโยบายของรัฐบาลอิตาลีถ่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจและมีแนวโน้มหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวว่า รมว.คลังยูโรโซนจะหารือเกี่ยวกับแผนงบประมาณปี 2562 ของอิตาลีในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 5 พ.ย. แม้อิตาลีเรียกร้องให้เลื่อนการเจรจาดังกล่าว แต่ภายใต้กฎของ EU หลังการปฏิเสธของคณะกรรมาธิการยุโรป อิตาลีจำเป็นต้องส่งร่างงบประมาณฉบับปรับปรุงใหม่ต่อ EU ภายในวันที่ 13 พ.ย. ปัจจัยดังกล่าวทำให้ วายแอลจีมีมุมมองว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำจะเป็นไปในลักษณะ Sideway Up นักลงทุนที่ไม่อยากแบกรับความเสี่ยงมากจนเกินไปควรรอการเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงมาในโซนแนวรับสำคัญ พร้อมติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำยังมีการเคลื่อนไหวในกรอบในทิศทางค่อยๆขยับขึ้น และคาดว่าราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up โดยความผันผวนของราคาและการแกว่งตัวของราคาอาจลดลงจากช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนสามารถลงทุนระยะสั้น โดยเข้าซื้อหากราคาย่อตัวไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,227 หรือ 1,217 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไม่แนะนำให้เข้าซื้อทั้งหมดบริเวณแนวรับใดแนวรับหนึ่ง ควรเหลือเงินทุนเพื่อซื้อเฉลี่ยหากราคาหลุดแนวรับแรก ซึ่งราคาอาจจะปรับตัวลงไปบริเวณแนวรับถัดไป และให้ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นบริเวณแนวต้าน 1,243-1,246 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่สามารถผ่านไปได้อาจเห็นการย่อตัวของราคาทองคำอีกครั้ง เบื้องต้นวายแอลจียังมองว่าการลงทุนยังเน้นการลงทุนระยะสั้น เพราะแม้ว่าราคาทองคำจะดีดตัวขึ้นได้บ้าง ก็ยังคงมีแรงขายทองคำออกมาเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนล่วงหน้าไว้ให้ชัดเจนเพื่อควบคุมความเสี่ยง
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,227 (19,250บาท) 1,217 (19,100บาท) 1,208 (18,950บาท)
แนวต้าน 1,246 (19,550บาท) 1,254 (19,700บาท) 1,266 (19,900บาท)
GOLD FUTURES (GFV18)
แนวรับ 1,227 (19,380บาท) 1,217 (19,220บาท) 1,208 (19,080บาท)
แนวต้าน 1,246 (19,680บาท) 1,254 (19,810บาท) 1,266 (20,000บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999