กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
- การเลือกตั้งปี 2562 น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลอย่างราบรื่นและการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง ถึงกระนั้นประเด็นนี้ไม่ใช่ปัจจัยใหม่ที่จะกระตุ้นการเติบโต
- ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดเพื่อรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับธนาคารกลางสหรัฐ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น
- เราคาดว่าปริมาณเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงกว่าที่ตลาดประมาณการ เนื่องจากการท่องเที่ยวยังคงมีความเสี่ยงและปริมาณการนำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตรา 4.5% ในปี 2562 โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่ควรจับตามอง ได้แก่ พัฒนาการด้านการเมือง แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงิน และความเสี่ยงที่อาจส่งแรงกดดันต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
การเปลี่ยนรัฐบาลน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่นหลังการเลือกตั้งปี 2562
ประเด็นที่น่าจับตามองของประเทศไทยในปี 2562 คือ การเลือกตั้งที่รอคอยกันมานานนับตั้งแต่การปฏิวัติในปี 2557 โดยมีการคาดกันว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ยิ่งขยับเข้าใกล้วันเลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวทางการเมืองยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปด้วยดีและการเปลี่ยนรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการค้าการลงทุน
ไม่ว่าผลของการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร รัฐบาลใหม่น่าจะต้องดูแลความต่อเนื่องของนโยบายเชิงโครงสร้างต่อไปอีก 2-3 ปี โครงการโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจ็ค ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ น่าจะยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ได้เปิดทางให้รัฐบาลสามารถผลักดันโครงการขนาดใหญ่ให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้ แม้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในภายหลัง ประเด็นนี้น่าจะช่วยกระตุ้นภาพรวมการเติบโตหลังจาก "หนึ่งทศวรรษที่หายไป" ที่การเติบโตสะดุดลงไปอันเนื่องจากวิกฤตทางการเมืองระหว่างปี 2548 – 2557 รวมถึงความล่าช้าของการดำเนินการโครงการที่ยืดเยื้อมานาน
"เราคิดว่าภาพรวมการเมืองที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศไทย น่าจะส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการปรับขึ้นอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศหลังจากการเลือกตั้ง ถึงกระนั้น ยังไม่น่าจะมีปัจจัยกระตุ้นการเติบโตใหม่หลังการเลือกตั้ง," ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% (มาอยู่ที่ระดับ 1.75%) ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 14 พฤศจิกายน เนื่องมาจากการส่งสัญญาณที่ชัดเจนในการประชุมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธปท.ยังมีความกังวลในเรื่องอัตราการแข็งค่าของเงินบาท ดังนั้นธปท.ไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุมเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคม
"เราคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.25% ณ สิ้นปี 2562 โดยธปท. จะขึ้นดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในครึ่งปีแรกของปีหน้า และอีกหนึ่งครั้งในครึ่งปีหลัง" ทิม กล่าว
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในอัตราที่เร็วกว่าที่ตลาดคาด อาจส่งผลให้ธปท.ปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยขึ้น 5 ครั้งในปี 2561-2562 ในขณะที่ตลาดมองการปรับขึ้น 3 ครั้ง นอกจากนี้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเชื่อว่าเงินเฟ้อในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนด้วยปัจจัยการปรับตัวดีขึ้นของภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค การนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นอันเนื่องมาจากเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ น่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
ปริมาณเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง จากแรงกดดันด้านการท่องเที่ยวและการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าปริมาณเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงมาอยู่ที่ 7.0% ของจีดีพีในปี 2562 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะกลางอันเนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุน (รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐาน) เชื้อเพลิงคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย
แม้ว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนจะมีความเสี่ยงต่อภาคส่งออก แต่ถึงกระนั้น ยังไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย โดยการส่งออกที่ชะลอตัวลงในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานเดิมที่อยู่ในระดับสูง
"แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอน แต่เราไม่เห็นผลกระทบรุนแรงในปีหน้า อันที่จริง ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอาจจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะผู้ซื้อจะมองหาสินค้ามาทดแทนสินค้าที่ได้รับผลกระทบทางภาษี หมายความหว่า ผลกระทบที่แท้จริง ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริงของผู้ส่งออกไทยในการตอบสนองความต้องการการนำเข้าที่มากขึ้นทั้งจากสหรัฐอเมริกาและจีน" ทิม กล่าวสรุป
เกี่ยวกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
เราเป็นธนาคารสากลชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 150 ปีในประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการค้า การลงทุนและการสร้างความมั่งคั่ง หลักการที่สืบทอดมาและค่านิยมองค์กรของเราสะท้อนอยู่ในพันธกิจของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่ว่า Here for good
เราดำเนินธุรกิจในกว่า 60 ตลาด ด้วยจำนวนสาขากว่า 1,000 แห่งและตู้เอทีเอ็มประมาณ 3,000 เครื่องบริษัทสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจำกัด มหาชน ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนและฮ่องกง นอกจากนี้ยังได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติในประเทศอินเดียอีกด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการอ่านบทความจากทีมนักเศรษฐศาสตร์ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.sc.com และติดตามสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้ทาง Twitter, LinkedIn และ Facebook