กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--เวิรฟ
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ "ทีรีท" (TREIT) เดินหน้าต่อยอดความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพกองทรัสต์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปิดดีลเข้าซื้อสินทรัพย์นอกกลุ่มไทคอน หลังคณะกรรมการบริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด มีมติอนุมัติให้เข้าทำการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจาก "สตาร์ ไมโครนิคส์" มูลค่า 90 ล้านบาท ชูจุดเด่นเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง มีศักยภาพการเติบโต ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอุตสาหกรรมไทย และมีผู้เช่าเข้ามาใช้พื้นที่ทันทีด้วยสัญญาระยะยาว 10 ปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ TREIT เข้าลงทุนในลักษณะการขายและการเช่ากลับคืน (Sale-and-Leaseback) กับสินทรัพย์นอกกลุ่ม นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ได้จำกัดการลงทุนแค่เฉพาะในสินทรัพย์คุณภาพสูงของกลุ่มไทคอน แต่ยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูงของผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มั่นใจสิ้นปีดันกองทรัสต์เติบโตไม่ต่ำกว่า 3,600 ล้านบาท และมอบผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยได้ตามเป้าหมาย ตอกย้ำการเป็น "กองทรัสต์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย"
นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ TMAN ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือทีรีท (TREIT) เปิดเผยว่า หลังจากประกาศเดินหน้าแผนการดำเนินงานเชิงรุกโดยจะมองหาโอกาสในการเข้าลงทุนในทรัพย์สินคุณภาพสูงทั้งจากในประเทศไทยและต่างประเทศมาเสริมพอร์ตในมือ พร้อมตั้งเป้าหมายผลักดันให้กองทรัสต์เติบโตต่อเนื่องปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท ล่าสุดคณะกรรมการบริษัท ไทคอน แมนเนจเม้นท์ จำกัด มีมติอนุมัติให้เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจากบริษัท สตาร์ ไมโครนิคส์ พรีซีชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "สตาร์ ไมโครนิคส์" ในมูลค่าการลงทุน 90 ล้านบาท ซึ่งใช้แหล่งเงินทุนจากเงินหมุนเวียนของกองทรัสต์ สำหรับทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมประกอบด้วย กรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่รวมประมาณ 8 ไร่ 3 งาน 53 ตารางวา และกรรมสิทธิ์ในอาคารโรงงานและสำนักงานรูปแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) จำนวน 2 อาคาร รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 8,976 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ อยุธยา ต.บ้านช้าง อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ "สตาร์ ไมโครนิคส์" ในฐานะผู้ขายยังได้ตกลงจดทะเบียนเป็นผู้เช่าทรัพย์สินที่ TREIT ลงทุนเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาข้างต้นด้วยสัญญาระยะยาว 10 ปี
การเข้าลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ส่งผลให้ปัจจุบัน TREIT มีจำนวนทรัพย์สินที่เป็นอาคารโรงงานและคลังสินค้ารวมทั้งสิ้น 516 ยูนิต โดยเป็นทรัพย์สินที่ถือครองสิทธิ์ประมาณ 70% และสิทธิการเช่าประมาณ 30% และเป็นทรัพย์สินคุณภาพสูงที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อการอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ อยุธยา ปทุมธานี สมุทรปราการ และพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ทั้งยังเป็นทรัพย์สินที่มาพร้อมผู้เช่าที่เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ ธุรกิจโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) เฉลี่ยอยู่ที่ 79.2% (ณ สิ้นเดือน กันยายน 2561) สำหรับความคืบหน้าของการเข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่มไทคอนมูลค่าประมาณ 3,600 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการโอนสินทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคมนี้
"ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ เราได้เล็งเห็นถึงความเหมาะสมและโอกาสในการเติบโตของการลงทุนในครั้งนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อีกทั้งยังเป็นการลงทุนในลักษณะการขายและการเช่ากลับคืน (Sale-and-Leaseback) กับสินทรัพย์นอกกลุ่มไทคอนเป็นครั้งแรก โดยมีสัญญาเช่าจากผู้ขายเป็นระยะเวลาถึง 10 ปี โดยระยะสัญญาเช่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 - 26 กันยายน 2571 เตรียมเดินหน้าขยายการเติบโตของกองทรัสต์ ตลอดจนสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในปีนี้ TREIT จะมีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปี 2560 (สิ้นเดือนธันวาคม)" นายพีระพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย