กรุงเทพฯ--7 พ.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
สำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง หน่วยลงทุนเพิ่มทุน SHREIT ครั้งที่ 1 ไม่เกิน 415 ล้านหน่วยและกู้ยืมเงินไม่เกินประมาณ 67.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,250 ล้านบาท) เพื่อเข้าลงทุนในทรัพย์สินประเภทโรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย ดันขนาดทรัพย์สินกองทุนสูงกว่า 10,000 ล้านบาท ด้านผู้บริหารมั่นใจทรัพย์สินใหม่ที่กองทรัสต์เข้าลงทุนเพิ่มเติมมีศักยภาพเติบโตที่ดี จากอานิสงส์การขยายตัวนักท่องเที่ยวในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และเพิ่มศักยภาพการสร้างประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์
นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน SHREIT เปิดเผยว่า หลังจากกองทรัสต์ SHREIT ได้ยื่นแบบไฟลิ่งการเพิ่มทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมครั้งที่ 1 ของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า 'สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้' หรือ SHREIT นั้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการออกหน่วยเพิ่มทุนดังกล่าวในครั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายทรัพย์สินใหม่ๆ เพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่งซึ่งมีศักยภาพการเติบโตที่ดี ได้แก่
1. ลงทุนในสิทธิการเช่าโครงการโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว ที่มีจำนวนห้องพักรวม 415 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักจำนวน 398 ห้องและบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ (MICE) อาทิ การประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Corporation : APEC) ในปี พ.ศ. 2556 และการประชุม IMF ทีผ่านมา
2. ลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มาตรฐานสากลแห่งเดียวในเขต Chow Kit ที่อยู่ใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองกัวลาลัมเปอร์ โดยมีห้องพักรวมจำนวน 532 ห้อง
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า สำหรับวงเงินที่ SHREIT จะลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินทั้ง 2 แห่งนี้ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกันไม่เกินประมาณ 174 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 5,796 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินที่มาจากการเพิ่มทุนกองทรัสต์จำนวนไม่เกิน 415 ล้านหน่วย และเป็นการกู้ยืมเงินอีกไม่เกินประมาณ 67.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2,250 ล้านบาท โดยภายหลังจากกองทรัสต์เข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งนี้ ส่งผลให้ขนาดมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์เติบโตขึ้นจากเดิมประมาณ 5,000ล้านบาทเพิ่มเป็นประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท และจะทำให้กอง SHREIT มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกับกองทรัสต์ประเภทโรงแรมกองอื่นๆที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าน่าจะส่งผลให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์ของ SHREIT ได้ประโยชน์ในการช่วยเสริมสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยทรัสต์จากการที่กองทรัสต์มีขนาดทรัพย์สินใหญ่ขึ้นเท่าตัว และเป็นการขยายฐานนักลงทุนที่จะเข้ามาจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด กล่าวว่า ทรัพย์สินใหม่ทั้ง 2 แห่งดังกล่าว ที่กองทรัสต์ SHREIT จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมนั้นเป็นไปตามนโยบายของกองทรัสต์ที่จะมุ่งขยายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว โดยรัฐบาลของอินโดนีเซียได้ให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยว 169 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองบาหลีขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 14.6% ต่อปี ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2017 มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนเมืองบาหลีทั้งสิ้น 5.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 6.5 ล้านคน นอกจากนี้ ตลาดการประชุมและนิทรรศการ (MICE) ของอินโดนีเซีย ก็มีอัตราการขยายตัวที่ดีมากเช่นกัน
ขณะที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จัดอยู่ใน อันดับ 10 ของเมืองที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก และมีอัตราการขยายตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.8% ต่อปี ขณะที่นักท่องเที่ยวภายในประเทศเอง ก็มาท่องเที่ยวเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 12.3% ต่อปี เช่นกัน
การเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมนี้คาดว่าจะเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้แก่กองทรัสต์และประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ SHREIT รวมทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของการจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย