กรุงเทพฯ--9 พ.ย.--โรงพิมพ์ตะวันออก
EPCO ประกาศความร่วมมือ CSS ร่วมลงทุน 2 โครงการโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 99.22 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนกว่า 2.8 พันล้านบาท มั่นใจแท็กทีมเสริมศักยภาพ พร้อม COD ภายในกลางปี 62 จับคู่รวยรับทรัพย์อื้อซ่า หนุนรายได้-กำไร เติบโตอลังการ
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้ Phu Khanh Solar Power Joint Stock Company (PKS) ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นร้อยละ 89.88 โดยบริษัท โซล่า พาวเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ("SPM") ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 100 ของทุนจดทะเบียน โดย บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (E) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 75.00 ดำเนินการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จังหวัดฟูเยี้ยน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 99.216 เมกะวัตต์
โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า มีระยะเวลาขายไฟฟ้าให้กับ Electricity of Vietnam (EVN) เป็นเวลา 20 ปี ในอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff หรือ FIT) ที่ 0.0935 USD ต่อหน่วย (หรือประมาณ 3.11 บาท อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ 33.270 บาท/1 USD อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2561 ) ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "โครงการ PKS" ด้วยงบลงทุนทั้งสิ้น 2,834.27 ล้านบาท กำหนดขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562
นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติให้บริษัท SPM เข้าทำบันทึกข้อตกลงลงทุนร่วมกันในโครงการ PKS โดยมี SPM ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 65.00 กับผู้ร่วมทุนบริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (CSS) ในสัดส่วนร้อยละ 25.00 และหุ้นส่วนที่เหลือถือหุ้นโดย Nam Viet Hung Investment Corporation ("NVH") ในสัดส่วนร้อยละ 5.00 และกรรมการ 1 ท่านของ NVH ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 5.00
"การจับมือร่วมลงทุนกับ CSS ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ EPCO ในการขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเวียดนาม เนื่องจากทาง CSS ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือดูแลด้าน Transmission Line และสนใจที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์ม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการขยายธุรกิจของบริษัท สำหรับการเข้าร่วมธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม ถือได้ว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีโอกาสเติบโตได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความต้องการใช้ไฟในระดับสูง นอกจากนี้ ยังมองว่าการร่วมทุนดังกล่าวถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะจะทำให้ทั้งสองบริษัทมีโอกาสศึกษาในเรื่องของการขยายการลงทุนร่วมกันอีกในอนาคต"นายยุทธ กล่าวในที่สุด
สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ปัจจุบัน SPM ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับEVN และลงนามในสัญญาEPC กับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้วทั้ง2 โครงการและทางผู้รับเหมาได้เข้าทำการปรับพื้นที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานก่อสร้างในส่วนของโรงไฟฟ้าในเร็วๆนี้
ขณะเดียวกันการขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเวียดนามในครั้งนี้ จะส่งผลให้ EPCO มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 550 เมกะวัตต์ ผ่านการลงทุนของ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ซึ่งเป็นบริษัทยอยของ EPCO ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 75 ผลักดันรายได้และกำไรในปี 2562 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ด้านนายสมพงษ์ กังสวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง EPCO และ CSS เพื่อลงทุนร่วมกันในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 99.216 เมกะวัตต์ ในครั้งนี้ว่า มีการเจรจาและศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งถือเป็นโครงการแรกที่ CSS ร่วมทำกับ EPCO โดยบริษัทฯ มองว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ และถือเป็นดีลที่ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน ที่สำคัญสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตอย่างแข็งแกร่ง
" การร่วมทุนครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนครั้งสำคัญของทั้ง 2 บริษัท ซึ่ง EPCO ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญที่จะสร้างการเติบโตอย่างมีศักยภาพในอนาคตร่วมกัน และถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีที่จะผลักดันให้ธุรกิจพลังงานทดแทนได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยโครงการดังกล่าวจะดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนมิถุนายน 2562 และรับรู้รายได้เข้ามาทันที ตอกย้ำให้เห็นว่า CSS ไม่ได้มีเพียงธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายและธุรกิจให้บริการออกแบบติดตั้งเท่านั้นที่สร้างรายได้ แต่ยังมีธุรกิจพลังงานทดแทนเข้ามาต่อยอดธุรกิจของบริษัทให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ เนื่องจากมองว่าธุรกิจดังกล่าวยังมีอนาคตอยู่ในทิศทางที่ดี และยังทำให้ CSS สามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัดส่วนการถือหุ้น 25% ตลอดอายุโครงการ 20 ปี ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีโครงการอื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่อง"นายสมพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะมุ่งมั่นสร้างสรรค์และลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนให้เติบโตต่อไปในอนาคต โดยมั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้โครงการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และหวังว่าในอนาคตจะมีโครงการอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำรายได้ให้สูงขึ้น