กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2561 มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 7,227 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,446 ล้านบาท ลดลง 7% จากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษ ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษ เพิ่มขึ้นกว่า 17% จากการรับรู้รายได้การขายน้ำ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ด้าน GROUP CEO "จรีพร จารุกรสกุล" มั่นใจผลงานโค้งสุดท้ายสดใส ส่งซิกเตรียมเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 10 พร้อมจ่อเจรจาปิดดีลลูกค้ารายใหญ่ขายที่ดิน และเช่าคลังสินค้าส่งท้ายปี ระบุประกาศเดินหน้าตอกย้ำการเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง สอดรับนโยบายการลงทุนในโครงการ EEC เตรียมบุ๊ครายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากอง WHART และ HREIT เข้ากระเป๋าปลายปีนี้
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ผู้นำธุรกิจแบบครบวงจร ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า 7,227 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 6,922 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,446 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,454 ล้านบาท เติบโตกว่า 17% จากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาท ในช่วงต้นปี รวมทั้งปริมาณการขายและให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้น้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมฯ และการให้บริการโรงไฟฟ้า SPP ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2560 เป็นต้นมา จำนวน 5 แห่ง ส่งผลบริษัทฯ รับรู้รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของต้นทุนทางการเงินกว่า 26%
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า 1,757 ล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 2,150 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 363 ล้านบาท ลดลงจาก 506 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28% เนื่องจากยอดการโอนที่ดินลดลง แต่ทั้งนี้หากพิจารณารายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นรายได้ประจำ (recurring income) บริษัทฯยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาสนี้ บริษัทฯ ยังคงมีความโดดเด่น และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯ เตรียมเปิดนิคมอุตสาหกรรม แห่งที่ 10 ภายใต้ชื่อ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 2,197 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับนโยบายโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯในการมุ่งส่งเสริมพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
ประกอบกับในช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา บริษัทฯได้เซ็นสัญญาในการเช่าคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง จำนวน 130,000 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ อีก 2-3 ราย ที่เตรียมเช่าพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ จะส่งผลให้บริษัทฯ มียอดการเช่าพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้นทะลุเป้าที่วางไว้ 250,000 ตารางเมตร
ส่วนพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมฯนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจซื้อพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อีก 4-5 ราย รวมถึงผู้ประกอบการอื่นๆ อีกประมาณ 20 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า นอกจากนี้ช่วงทุกๆไตรมาส 4 ของทุกปี บริษัทฯ มีเตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) โดยล่าสุด ได้รับไฟเขียวจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ในการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 3 คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 4,464.5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายให้กับผู้ถือหน่วยเดิม และนักลงทุนทั่วไปช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะโอนทรัพย์สินแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้
ขณะที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) อยู่ระหว่างการเรียกประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์สำหรับการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 2 มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 477 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย และสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้เช่นเดียวกัน
รวมทั้งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2561 จำนวน 3,500 ล้านบาท เสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ แบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 2ปี 3.5 ปี 5 ปี และ 7 ปี โดยมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.81% และมีอายุเฉลี่ยของหุ้นกู้อยู่ที่ 5.9 ปี ซึ่งถือเป็นการลดความเสี่ยงของความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวอีกด้วย