กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--วิค แอนด์ ฮุคลันด์
บริษัท วิค แอนด์ ฮุคลันด์ จำกัด (มหาชน) หรือ WIIK รายงานมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที 6/2561 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องการลดทุน, เพิ่มทุนจดทะเบียน, การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯรุ่นที่ 2 (WIIK-W2)ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 และผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561
ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้เสนอยกเลิกการเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 149,975,200 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้น 149,975,200 หุ้น พร้อมลดทุนจดทะเบียนจำนวน 249,954,001 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 624,892,534 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 374,938,533 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญที่ยังมิได้จำหน่ายออก
และที่ประชุมมีมติเสนอให้พิจารณาอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 2 ("WIIK-W2") จำนวนไม่เกิน 124,979,511 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ในอัตราส่วนการถือหุ้นสามัญ 3 หุ้น ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย และพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 124,979,511 บาท เป็น 499,918,044 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ WIIK-W2
โดยบริษัทฯจะดำเนินการจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 ในวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561 เวลา 14.00 น. ณ ห้องซิลเวอร์ 2 ชั้นใต้ดิน โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว บางกอก ฟอร์จูน เพื่อขออนุมัติมติดังกล่าวจากผู้ถือหุ้น และกำหนด ให้วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 (Record date)
นอกจากนี้ นายวิบูลย์ แสงวิทยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2561 ว่าบริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน 1.13 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 20.60 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 19.47 ล้านบาทหรือคิดเป็น 94.51% ด้วยปัจจัยจากธุรกิจผลิตและติดตั้งท่อได้รับผลกระทบจากการชลอการจัดซื้อจัดจ้างของโครงการงานต่างๆ รวมทั้งราคาต้นทุนเม็ดพลาสติกปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทไม่สามารถควมคุมได้
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีงานที่ยังรอส่งมอบจำนวน 626.82 ล้านบาท ประกอบด้วยงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจากธุรกิจท่อและติดตั้งท่อจำนวน 511.88 ล้านบาท และจากธุรกิจบริหารจัดการน้ำ 114.94 ล้านบาท (ส่วนที่รับรู้รายได้ภายใน 1 ปี) ส่วนสถานการณ์ของตลาดท่อก็เริ่มดีขึ้นจากการทยอยประกวดราคางานก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับงานวางท่อในพื้นที่ระเบียงเศรฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยมีปริมาณงานวางท่อที่คาดว่าผู้รับจ้างจะทำสัญญากับภาครัฐในไตรมาส 4 ปีนี้ และในไตรมาส 1 ปี 2562 มากกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทน่าจะได้ประโยชน์ที่สุดในด้านการขนส่ง
ตามที่บริษัทฯได้วางแผนการสร้างรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้และผลการดำเนินงานที่มั่นคง จะเห็นได้ว่าบริษัทฯมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการน้ำเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2560 จำนวน 47.39 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 191.71 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของงานรับจ้างติดตั้งระบบผลิตน้ำประปาและงานก่อสร้างระบบบำบัดน้ำ แบบ Turnkey นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีสัญญาการบริหารจัดการน้ำระยะยาวที่จะสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องทุกปี