กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--หอการค้าไทย
อุตสาหกรรมยางพาราเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทย โดยสามารถการสร้างรายได้และการจ้างงานให้กับเกษตรกรกว่า 6 ล้านคน และแรงงานในอุตสาหกรรมกว่า 200,000 คน ขณะที่อุตสาหกรรมยางพาราของมาเลเซียเป็นหนึ่งกิจกรรมเศรษฐกิจหลักในจำนวน 12 สาขา ที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้สำเร็จในปี 2020 และเมื่อเปรียบเทียบศักยภาพการห่วงโซ่การผลิตยางพาราไทยกับมาเลเซียพบว่า มีความแตกต่างกันทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยในระดับต้นน้ำนั้น ไทยขยายพื้นที่เพาะปลูกแต่มาเลเซียลดพื้นที่เพาะปลูกลง จำนวนครัวเรือนเกษตรกรไทยมากกว่ามาเลเซีย ผลผลิตต่อไร่ไทยใกล้เคียงกับมาเลเซีย การพัฒนาพันธุ์ยางพาราไทยตามหลังมาเลเซีย และการดูแลเกษตรกรรายย่อยมาเลเซียแตกต่างจากไทย ส่วนในระดับกลางน้ำพบว่า น้ำยางข้นไทยผลิตมากและส่งออกอันดับหนึ่ง ไทยผลิตยางแผ่นรมควันลดลงแต่ยังคงผลิตมากกว่ามาเลเซีย ส่วนยางแท่งไทยนั้นมีมาตรฐานใกล้เคียงมาเลเซีย และในระดับปลายน้ำพบว่าไทยสามารถเป็นศูนย์กลางผลิตยางรถยนต์อาเซียนได้ และควรผลักดันอุตสาหกรรมถุงมือยางไทยให้เข้มแข็งเหมือนมาเลเซีย ในส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ หมอนยางพารารายย่อยยังไม่ได้มาตรฐาน การทำถนนยางไทยมีองค์ความรู้แต่ไม่คืบหน้า อย่างไรก็ตาม ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราอื่นๆ เช่น การเป็นศูนย์กลางผลิตล้อเครื่องบิน แผ่นรองรางรถไฟความเร็วสูงและหมอนรางรถไฟ และศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น
สำหรับโอกาสและทางรอดของอุตสาหกรรมยางพาราของไทย ในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงในอีก 5 ปีข้างหน้า ควรพิจารณาในประเด็นต่างๆ 14 ข้อ ได้แก่ 1. ปรับโครงสร้างหน่วยงานยางพาราของประเทศให้ทำงานเป็นเอกภาพ โดยแบ่งบทบาทหน้าที่ในแต่ละด้านชัดเจน เช่น การวิจัย การพัฒนาพันธุ์ การทำตลาด ซึ่งสอดคล้องและไปในทิศทางเดียวกันเหมือนที่ประเทศมาเลเซียทำ 2. เกษตรกรต้องรวมตัวกันเป็นเอกภาพ ซึ่งควรมีการตั้งเป็นกลุ่มตัวแทนของเกษตรกรยางพาราของประเทศ 1 สถาบัน แล้วมีตัวแทนจากกลุ่มเกษตรกรต่างๆ เข้ามาเป็นคณะกรรมการเพื่อเสนอปัญหาของเกษตรกรยางพาราไปในทิศทางเดียวกัน 3. พัฒนา Big Data ยางพารา เพื่อให้มีฐานข้อมูลยางพาราทั้งในประเทศและต่างประเทศทันสมัยที่สุด ทั้งนี้ควรมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเพื่อดูแล Big Data 4. จัดตั้งศูนย์เตือนภัยยางแห่งชาติ (Rubber Warning Center) เพื่อมีแบบจำลองทางด้านเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจและธุรกิจที่สามารถจะคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยในตลาดโลกที่มีผลกระทบต่อยางพาราของไทย 5. การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ยางพารา (Rubber Cross Border E-commerce: RCBEC) เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้มีการนำยางและผลิตภัณฑ์ยางไปขายบนเว็บไซต์ออนไลน์ โดยตั้งอยู่ 2 จุด คือ ท่าเรือสงขลาและท่าเรือแหลมฉบัง 6. ตั้งศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางของโลก เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตล้อเครื่องบิน, ผลิตภัณฑ์อิฐผสมยางพารา, ผลิตภัณฑ์ยางพาราเพื่อการก่อสร้าง, หมอนรถไฟผสมยางพารา เป็นต้น 7. จัดตั้งศูนย์เรียนรู้และพัฒนามาตรฐานยางพาราในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อสร้างความเข้าใจและปรับทัศนคติของชาวสวนในเรื่องของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และลดสิ่งปลอมปนในการผลิตยาง อีกทั้งพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราทั้งในต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ 8. ตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนเครดิตให้กับกลุ่มสหกรณ์ผลิตภัณฑ์ยางพาราเพื่อตลาดต่างประเทศ (Rubber Fund) เพื่อเป็นการปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน 9. ส่งเสริมให้มีการผลิตยางแผ่นรมควันคุณภาพสูง (Premium RSS) โดยผลักดันและส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตยางแผ่นรมควันชั้นที่ 1 และ 2 หรือเรียกว่า "Premium RSS" 10. จัดตั้งศูนย์กลางการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตภัณฑ์ยาง ส่งเสริมใช้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมากขึ้น ส่งเสริมให้นำผลงานวิจัยต่างๆ สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ และสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 11. ตั้ง Outlet ผลิตภัณฑ์ยางพาราไทยแต่ละจังหวัด (One Rubber one province: OROP) เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพาราของผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ 12. ตั้งศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ และห้องทดลองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแต่ละภูมิภาค เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMES กลุ่มสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ มีศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ และห้องทดลองของส่วนกลางให้ใช้เพิ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ 13. ตั้งผู้แทนการค้ายางพาราของไทย (Thailand Rubber Trade Representative: TRTR) เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือทางด้านการตลาดในกับผู้ประกอบการ SMES กลุ่มสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ รวมไปถึงการจัดงานแสดงสินค้าเพื่อนำสินค้าของเกษตรกร และสหกรณ์ไปแสดงและจำหน่าย 14. จัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อการเพิ่มรายได้เกษตรกรยางพารา เพื่อให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างยางพารากับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ในแต่ละท้องถิ่น ปรับแก้กฎหมายเรื่องการซื้อขายไม้ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์การในการซื้อขายไม้เศรษฐกิจอย่างเสรี เช่น ไม้ยางนา ไม้ตะเคียนทอง อบรบวิธีการกรีดยางที่ถูกวิธีให้การชาวสวนและผู้รับจ้างกรีดยางเพื่อเพิ่มผลิตผลิตและรายได้ และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจให้กับเกษตรกร และสหกรณ์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และการหาช่องทางจำหน่ายสินค้า