กรุงเทพฯ--9 ม.ค.--ศุภาลัย
ศุภาลัย แจงผลประกอบการปี 2550 ยอดขายของบริษัทฯ อยู่ที่ 8,850 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 8,800 ล้านบาท พร้อมเผยปี 2551 บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 8 โครงการ และที่จังหวัดภูเก็ต อีก 4 โครงการ ตั้งเป้าปี 2551 สร้างยอดขายรวม 9,999 ล้านบาท
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด ((มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับผลประกอบการในปี 2550 ของ บมจ.ศุภาลัย มียอดขายรวม 8,850 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้ายอดขายที่ตั้งคือ 8,800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดฯ ร้อยละ 70 ส่วนบ้านจัดสรรและรายได้อื่น ๆ รวม 30% และเมื่อเทียบกับปี 2549 ถือว่าบริษัทฯ มียอดขายรวมเติบโตขึ้น 19.6% โดยบริษัทฯ สามารถรักษาค่าใช้จ่ายการขาย-การบริหารให้คงอยู่เพียงร้อยละ 9 ของรายได้รวม และให้อัตราตอบแทน ที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นและพนักงานได้”
ส่วนในปี 2551 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 9,999 ล้านบาท เฉพาะในส่วนที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายทั้งคอนโดฯ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 13%โดยบริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มอีก 8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการอาคารสูง 4 โครงการ และโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ 4 โครงการ รวมเป็น 8 โครงการ และโครงการใหม่ที่จังหวัดภูเก็ตอีก 4 โครงการด้วยกัน ซึ่งมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะเปิดใหม่ซึ่งเป็นของบริษัทฯ ในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หาดใหญ่นครินทร์ จำกัด จะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการเป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการ และคอนโดฯ 1 โครงการ คาดว่ามูลค่าโครงการใหม่จะรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
“โดยบริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณซื้อที่ดินประมาณ 2,500 — 3,000 ล้านบาท และตั้งงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ 120 ล้านบาท สำหรับในปี 2551 บริษัทฯ คาดว่าสัดส่วนรายได้จะเป็นจากคอนโดมิเนียม 60% และจากบ้านจัดสรรและอื่นๆ 40% จากโครงการที่จะเปิดขายรวมทั้งหมด 35 โครงการ” นายประทีป กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับแนวโน้มที่อยู่อาศัยในปี 2551 ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปีนี้คนก็ยังนิยมบ้านที่มีขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นหลัก และที่สำคัญต้องตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ เดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า และคอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ที่ราคาเหมาะสม ก็ยังจะคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันทาวน์เฮ้าส์ ที่จะได้รับความนิยม ต้องตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ส่วนบ้านเดี่ยวต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ไม่ไกลเกินไป และบ้านที่ขายดีต้องมีราคาที่เหมาะสม ที่คนส่วนใหญ่ซื้อได้หรือไม่เกิน 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาบ้านในปี 2551 จะมีการปรับขึ้นประมาณ 5 — 10% ซึ่งมีผลมาจากการที่ต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนที่ดินจะสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะความเจริญที่เปลี่ยนไป และราคาประเมินที่ดินที่เป็นมาตรฐานหลักปรับสูงขึ้น ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงงานที่ปรับสูงขึ้น การป้องกันแผ่นดินไหวของอาคารสูง ปัจจัยของสิ่งแวดล้อม ล้วนส่งผลให้บ้านล็อตใหม่ที่ก่อสร้างในปี 2551 ปรับราคาสูงขึ้น
นายประทีป กล่าวต่อว่า “ในส่วนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะการบริหารด้านต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เน้นใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ กระแสโลกร้อนทำให้การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าจะประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดค่าไฟได้ในระยะยาว และบ้านที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล และมีตัวอย่างโครงการอ้างอิงที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวนมาก จะได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อบ้านของลูกค้า นอกจากนี้ ยังควรให้ความสำคัญในเรื่องของการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย และไม่โฆษณาเกินความเป็นจริง โดยมาเน้นการให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า จะทำให้บริษัทสามารถยืนหยัดต่อสู้ในตลาดซึ่งมีการแข่งขันสูงได้”