กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,200.10-1,204.58 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,800 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,800 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ18 อยู่ที่ 18,870 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 20 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,890 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.41 น. ของวันที่ 14/11/61)
แนวโน้มวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561
ผลสำรวจของธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ (BAML) บ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นของสหรัฐ ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับผู้จัดการกองทุนทั่วโลก คาดหมายในวงกว้างว่า ดัชนี S&P500 จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 12% ก่อนแตะระดับสูงสุด และ คาดการณ์ถึงภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งซบเซามากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ผลสำรวจดังกล่าวส่งผลให้การลงทุนในทองคำถูกลดความน่าสนใจลง นอกจากนี้ นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในหลายรูปแบบ ทั้งในด้านพลังงาน ในการก่อสร้างท่อส่งน้ำมัน ท่อส่งก๊าซธรรมชาติเหลว แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้เกิดการคาดการณ์เชิงบวกต่อแนวเศรษฐกิจสหรัฐ และมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ยูโรได้รับแรงกดดัน จากปัญหายอดขาดดุลงบประมาณในระดับสูงของอิตาลี โดยรองนายกรัฐมนตรีอิตาลีระบุว่า รัฐบาลอิตาลีจะคงยอดขาดดุลและคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสำหรับปี 2562 ไว้ตามเดิม แม้ว่าคณะกรรมาธิการยุโรปปฏิเสธแผนงบดังกล่าว นอกจากนี้ ราคาทองคำในประเทศได้รับผลกระทบจากความผัวผวนของค่าเงินบาท ซึ่งระหว่างวัน ค่าบาทต่อดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับ 32.72 บาท โดยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% โดยมีมติ 4:3 เสียงคงดอกเบี้ย 1.50% ซึ่งคณะกรรมการ 3 ท่านสนับสนุนเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 1.5% เป็น 1.75% ตามคาด (การประชุมครั้งก่อนมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง) แต่อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทลดการแข็งค่าลง เมื่อกนง. มีมุมมองต่อการส่งออกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต นักลงทุนจึงคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง.อาจยังคงไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น ทั้งนี้ ราคาทองคำตลาดโลกมีการเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อยๆอ่อนตัวลง หากราคาทองคำอ่อนตัวลงไม่ต่ำกว่าบริเวณ 1,191 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากมีแรงซื้อกลับเข้ามา มีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นทดสอบแนวต้านในบริเวณ 1,206-1,211 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า นักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวบริเวณแนวต้าน 1,211-1,224 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอเข้าซื้อคืนหากราคาย่อตัวลงมาและไม่หลุดแนวรับ 1,191-1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ และควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับดังกล่าว แต่หากหลุดบริเวณนี้จำเป็นต้องชะลอการเข้าซื้อออกไป สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำในมือ แนะนำให้แบ่งขายกำไรบางส่วนเมื่อราคาดีดตัวขึ้นหรือบริเวณแนวต้าน 1,206-1,211 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากการดีดตัวขึ้นเป็นไปอย่างค่อนข้างจำกัด
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,191 (18,550บาท) 1,180 (18,400บาท) 1,172 (18,250บาท)
แนวต้าน 1,211 (18,900บาท) 1,224 (19,100บาท) 1,236 (19,300บาท)
GOLD FUTURES (GFZ18)
แนวรับ 1,191 (18,720บาท) 1,180 (18,550บาท) 1,172 (18,420บาท)
แนวต้าน 1,211 (19,030บาท) 1,224 (19,240บาท) 1,236 (19,430บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999