กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
'บมจ.โอสถสภา (OSP)' ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทยและในภูมิภาคอาเซียน โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 3/61 อยู่ที่ 771.9ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 16.8% และภาพรวมกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 2,216.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 78% ของกำไรสุทธิในปี2560 ทั้งปี ขณะที่รายได้รวม 9 เดือนแรกจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศ (รวมซี-วิตและคาลพิส) ยังคงเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตสูงกว่าตลาดเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ มั่นใจหลังเปิดเตาหลอมแก้วจะส่งผลให้รายได้จากการขาย OEM กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และส่งผลดี ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงและเพิ่มขีดความสามารถทำกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 (กรกฎาคม – กันยายน 2561) สามารถทำกำไรสุทธิได้ 771.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 661.1 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง
ขณะที่รายได้รวมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายในประเทศ (รวมซี-วิตและคาลพิส) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สามารถผลักดันการเติบโตขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสมุนไพรที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นหลังจากปรับภาพลักษณ์สินค้า รายได้ของผลิตภัณฑ์ซี-วิตที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มที่มีการเติมส่วนผสมเพื่อให้คุณสมบัติเฉพาะ (Functional Drink) ส่วนผลิตภัณฑ์ฉลามผสมกระชายดำที่เปิดตัวใหม่ ก็สามารถสร้างยอดขายในช่วงเปิดตัวได้เป็นที่พอใจ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศ โดยมีเอ็ม-150 เป็นแบรนด์หลัก
เช่นเดียวกับรายได้จากการขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในงวด 9 เดือนแรกเติบโต 12.2% หรือคิดเป็น 1,776.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จจากการทำตลาดต่างประเทศและในประเทศที่เติบโตได้ดี ทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เบบี้ มายด์ และผลิตภัณฑ์ทเวลฟ์ พลัส
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร OSP กล่าวว่า "บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าผลกำไรของโอสถสภาจะเป็นไปตามเป้าหมายจากแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การควบคุมต้นทุนการผลิต การเพิ่มขีดความสามารถการทำกำไรขั้นต้น รวมถึงการเติบโตที่ดีของกลุ่ม Functional Drink และกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าส่วนบุคคลที่จะทำให้โอสถสภาสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากยิ่งขึ้น"