กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--IR PLUS
ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด หรือ ASIAN เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2561 อยู่ที่ 147 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส อานิสงส์ยอดขายเพิ่มโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์กุ้ง ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นผลิตภัณฑ์ทูน่าและปลาหมึกเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงทำสถิติที่ 12.6% ประกาศเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเอง เชื่อเสริมแกร่งด้านรายได้ กำไรขั้นต้น พร้อมส่งลุยตลาดจีน
นายเฮ็นริคคัส แวน เวสเทิร์นดรอป ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานบริหารสายการเงิน บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ธุรกิจผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปสัตว์น้ำแช่เยือกแข็ง ผลิตภัณฑ์ทูน่า ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำ เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 112 ล้านบาท โดยกำไรในไตรมาสที่ 3 นี้ทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส
บริษัทฯ มียอดขายในไตรมาส 3 ปี 2561 จำนวน 2,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งที่เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำที่ลดลง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ปี 2561 อยู่ที่ 12.6% ซึ่งทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 11% เป็นผลจากสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกับอัตรากำไรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่าและหมึกปรับตัวดีขึ้น เมื่อพิจารณาจากราคาขายเทียบกับต้นทุนวัตถุดิบ
ในไตรมาส 3 ปี 2561 ยอดขายเชิงปริมาณโดยรวมลดลง 17% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากยอดขายเชิงปริมาณในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำลดลง แม้ว่าจะชดเชยได้บ้างจากการที่ยอดขายเชิงปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และกลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งที่เพิ่มขึ้น 50% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มอาหารกุ้งและอาหารปลากะพง ประกอบกับปริมาณการเลี้ยงที่ลดลง ทำให้ยอดขายเชิงปริมาณลดลง
ส่วนยอดขายรวมในไตรมาส 3 ปี 2561 เพิ่มขึ้น 4.6% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่าปรับตัวสูงขึ้น และยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็งและกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะชดเชยยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง
"ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นกว่า 3% ในระหว่างไตรมาส ทำให้ราคาขายเมื่อแปลงเป็นเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ราคาขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ" นายเฮ็นริคคัส กล่าว
ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง (โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปลาหมึก) และกลุ่มธุรกิจทูน่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประกอบกับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มอัตรากำไรสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน แม้ว่าอัตรากำไรจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำลดลงก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นราว 3% ทำให้อัตรากำไรก่อนภาษีอยู่ที่ 146 ล้านบาท และกำไรสุทธิหลังภาษีอยู่ที่ 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปีก่อนหน้า
นายเฮ็นริคคัส กล่าวเพิ่มว่า บริษัทอยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศจีน และกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเองเพื่อทำตลาดในประเทศจีน และเชื่อว่าด้วยศักยภาพการเป็นผู้ผลิตชั้นนำในตลาด แบรนด์ของบริษัทมีโอกาสอันดีที่จะได้ส่วนแบ่งในตลาดจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และจะเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้และพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นให้กับบริษัทฯ ในอนาคตอันใกล้