กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส
สภาวะตลาดวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,208.00-1,214.93 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,950 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 150 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,800 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ18 อยู่ที่ 19,050 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 170 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,880 บาท
(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.28 น. ของวันที่ 15/11/61)
แนวโน้มวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561
ความพยายามเบื้องต้นของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษประสบความสำเร็จ หลังคณะรัฐมนตรีของเธออนุมัติร่างแผนเบร็กซิท ซึ่งเป็นร่างข้อตกลงในการที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) โดยร่างแผนดังกล่าวจะทำให้อังกฤษสามารถถอนตัวจาก EU ด้วยข้อตกลงที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดกรณี "เบร็กซิทแบบแข็งกร้าว" ส่งผลให้สกุลเงินยูโรและปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.8% และ 1.2% ตามลำดับเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเกือบ 1% ในรอบการซื้อขายดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นยังถูกจำกัดจากความกังวลว่าข้อเสนอดังกล่าวจะผ่านการอนุมัติในรัฐสภาอังกฤษได้หรือไม่ เพราะการได้รับการอนุมัติร่างข้อตกลงเบร็กซิทจากรัฐสภาอังกฤษถือเป็นความท้าทายขั้นสูง ทั้งนี้ในเบื้องต้นหลังจากที่คณะรัฐมนตรีอังกฤษได้อนุมัติต่อร่างข้อตกลง Brexit เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการประชุมสุดยอดของ EU เพื่ออนุมัติข้อตกลงดังกล่าวในวันที่ 25 พ.ย. ก่อนที่รัฐสภาอังกฤษและ EU จะพิจารณาต่อ นอกจากนี้ดอลลาร์ยังคงแข็งแกร่งจากแรงหนุนของเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของสหรัฐและการเพิ่มขึ้นของแรงกดดันค่าจ้าง ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คงแนวทางในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแม้ว่าถ้อยคำในแถลงการณ์ของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ประเมินว่าในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐ อาจเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน และเฟดต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับกับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่เขาก็ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มการแถลงข่าวหลังการประชุมทุกครั้งของเฟดในปี 2562 แนวทางดังกล่าวบ่งชี้ว่าการประชุมเฟดทั้งหมดมีความเป็นไปได้สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ทองคำได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงจากปัญหาร่างงบประมาณปี 2562 ของอิตาลี ซึ่งยังต้องเผชิญหน้ากับ EU โดยความรุนแรงของปัญหาได้สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีกับเยอรมนีกว้างขึ้น เบื้องต้นหากราคาทองคำไม่สามารถยืน 1,224 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง นักลงทุนต้องระมัดระวังการอ่อนตัวของราคาทองคำ
กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจีมีมุมมองว่า อาจต้องรอดูการเคลื่อนไหวของราคาทองคำว่าจะสามารถยืนในบริเวณ 1,204-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่งหรือไม่ หากสามารถยืนได้ประเมินว่าราคาทองคำจะขยับขึ้นชนแนวต้านในโซน 1,224 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำดีดตัวขึ้นไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,224 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา หากราคาทองคำอาจมีย่อตัวลงมา โดยประเมินแนวรับที่ 1,204-1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถยืนเหนือแนวรับได้ราคาก็พร้อมขึ้นไปทดสอบแนวต้านในระยะสั้นอีกครั้ง แนะนำให้เล่นในกรอบ โดยรอจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ เพื่อขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปบริเวณแนวต้าน และไม่ควรถือสถานะจำนวนมาก
ทองคำแท่ง (96.50%)
แนวรับ 1,200 (18,650บาท) 1,191 (18,500บาท) 1,180 (18,350บาท)
แนวต้าน 1,224 (19,050บาท) 1,236 (19,250บาท) 1,244 (19,350บาท)
GOLD FUTURES (GFZ18)
แนวรับ 1,200 (18,820บาท) 1,191 (18,680บาท) 1,180 (18,510บาท)
แนวต้าน 1,224 (19,200บาท) 1,236 (19,380บาท) 1,244 (19,510บาท)
หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999