กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่าตลาดคอนโดมิเนียมพัทยากลับมาส่งสัญญาณบวกหลังจากซบเซาต่อเนื่องมาหลายไตรมาส โดยระหว่าง ม.ค. – ก.ย. ปี 2561 มีจำนวนยูนิตเปิดใหม่ทั้งสิ้นประมาณ 4,800 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ทั้งปีกว่า 83% หรือประมาณ 2,200 ยูนิต ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบว่าสัดส่วนของซัพพลายต์ใหม่ในพัทยา ระหว่าง ม.ค. – ก.ย. ปี 2561 อยู่ที่จอมเทียนกว่า 3,100 ยูนิต หรือคิดเป็น 65% ของซัพพลายด์ใหม่ทั้งหมด ในขณะที่พัทยากลางและนาจอมเทียนได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเป็นอันดับ 2 และ 3 ด้วยสัดส่วนซัพพลายด์ใหม่ที่ 13% และ 9% ตามลำดับ ส่วนทำเลอื่นๆอย่างพัทยาใต้และพระตำหนัก มีซัพพลายด์ใหม่เข้ามาในตลาดรวมกันประมาณ 320 ยูนิต คิดเป็น 13% ของซัพพลายด์ใหม่ทั้งหมด
อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมในพัทยาระหว่างปี 2552 – ไตรมาส 3 ปี 2561
อุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ในพัทยา ระหว่าง ม.ค. – ก.ย. ปี 2561 โดยแยกตามพื้นที่
ด้านยอดขาย พบว่ายอดขายเฉลี่ยของยูนิตที่เปิดขายใหม่เหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 62% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าราวๆ 12% เนื่องจากมีซัพพลายด์ใหม่เข้าสู่ตลาดช่วง 9 เดือนแรกในปริมาณค่อนข้างสูง โดยตลาดต่างประเทศมีชาวจีนและรัสเซียเป็นผู้ซื้อหลัก ส่วนทำเลที่ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาได้แก่ พัทยากลาง พัทยาใต้ และนาจอมเทียน ขณะที่ภาพรวมด้านราคาเสนอขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรของยูนิตเปิดใหม่ระหว่าง ม.ค. – ก.ย. 2561 อยู่ที่ 118,510 บาท โดยราคาเสนอขายเฉลี่ยของโครงการระดับลัคซูรี่อยู่ที่ประมาณ 130,000 บาทต่อตารางเมตร
อุปสงค์ อุปทาน และอัตราการขายสะสมของคอนโดมิเนียมในพัทยา ระหว่างปี 2552 – ไตรมาส 3 ปี 2561
ราคาเสนอขายเฉลี่ยของอุปทานใหม่รายปีในพัทยา (บาท/ตร.ม.)
สำหรับสถานการณ์ตลาดในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี คาดว่าปัจจัยสนับสนุนได้แก่กำลังซื้อจากต่างประเทศที่ยังสนใจอสังหาริมทรัพย์ในพัทยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีน รัสเซีย และยุโรปหลายประเทศ ซึ่งผู้ซื้อกลุ่มนี้มีทั้งซื้อเพื่อลงทุนและเพื่ออยู่อาศัยเอง ในขณะที่ปัจจัยที่อาจส่งผลลบคือนโยบาย Macroprudential สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป ดังนี้ฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทยคาดการณ์ว่านโยบายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อชาวไทยบางส่วนที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในพัทยาเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ หรือซื้อเพื่อลงทุน