กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--ปตท.
นำส่งรายได้แก่รัฐมากขึ้นทั้งในรูปของเงินปันผลและภาษีเงินได้ โดยตั้งแต่หลังแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2544 – 2561 รวมกว่า 8.4 แสนล้านบาท เฉพาะ 9 เดือนแรกของปีนี้ประมาณ 56,000 ล้านบาท ในฐานะ ปตท. เป็นทั้งรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงพลังงาน อีกทั้งเป็นบริษัทมหาชนภายใต้กฎหมายมหาชนและ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 มีผลการดำเนินงานดีขึ้นในเกือบทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อพิจารณาตามโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ ปตท. พบว่า กระทรวงการคลังถือหุ้นทางตรงประมาณ14,599 ล้านหุ้น หรือ 51.11 % จะได้รับเงินปันผลจำนวนประมาณ 11,680 ล้านบาท ขณะที่การถือหุ้นทางอ้อมผ่านกองทุนวายุภักษ์ 1 โดย บลจ.เอ็มเอฟซี และ บลจ.กรุงไทย อีกประมาณ 3,472 ล้านหุ้น หรือ 12.16 % ได้รับเงินปันผลประมาณ 2,780 ล้านบาท ส่งผลให้ ปตท. สามารถนำกำไรส่งรัฐในรูปแบบเงินปันผลรวมทั้งสิ้นกว่า 14,460 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปตท. ยังนำเงินส่งรัฐในรูปแบบของภาษีเงินได้นิติบุคคล นับจนถึง 9 เดือนแรกนี้ เป็นจำนวนประมาณ 28,200 ล้านบาท เมื่อนำไปรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทในกลุ่มประมาณ 13,300 ล้านบาท ทำให้กลุ่ม ปตท. นำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่รัฐรวมประมาณ 41,500 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เกิดจากความมุ่งมั่น ทุ่มเท เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมขับเคลื่อนประเทศผ่านการนำเงินส่งรัฐ ทั้งในรูปแบบของเงินรายได้และภาษีต่างๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปตท. ยึดมั่นการบริหารจัดการความยั่งยืน 3 ด้าน (3P) อย่างสมดุล คือ การทำธุรกิจควบคู่กับการดูแลชุมชนและสังคม (People) การอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Planet) และเป็นฐานความมั่นคงให้แก่ภาคเศรษฐกิจและสังคมเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน (Prosperity) บนฐานการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล ด้วยการจัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยง และการกำกับการปฏิบัติตามกฎหมาย (Governance, Risk and Compliance: GRC) เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน