กรุงเทพฯ--19 พ.ย.--โฟร์ฮันเดรท
โดย นายณัษฐา ประโมจนีย์
รองกรรมการผู้จัดการ
บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด หรือ (ITALTHAI Engineering : ITE)
ธุรกิจก่อสร้าง เป็นนับว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องด้วยการดำเนินธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งมอบงานที่มีคุณภาพภายในกำหนดเวลาตามสัญญา ความสามารถในการลดต้นทุนงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รวมไปถึงประสบการณ์ของเจ้าของกิจการและทีมงานซึ่งมีผลต่อความเสี่ยงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของงานที่ได้รับมา นอกจากนี้ยังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลทำให้ ธุรกิจก่อสร้างเกิดความเสี่ยงสูง อาทิการแข่งขันราคาในการประมูล, การผูกมัดในการทำงานด้วยสัญญาที่อาจไม่เป็นธรรม, เจ้าของงานหรือลูกค้าเหนียวหนี้หรือไม่ชำระหนี้, การถ่ายความเสี่ยงของโครงการลงทุนต่างๆของผู้ลงทุนให้กับผู้รับเหมารับภาระแทน, การถูกปรับ เนื่องจากส่งงานล่าช้าหรือไม่ได้ผลงานตามสัญญา (Delay and Performance liquidated damages), การปรับราคาหรือเกิดความล่าช้าจาก Supplier หรือผู้รับเหมาช่วง, ทีมงานลุยทำงานอย่างเดียวไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่การขาดการบันทึกข้อมูลค่าใช้จ่ายโครงการ ฯลฯ โดยปัจจัยดังกล่าว นี้เป็นสิ่งที่ผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ต่างเคยประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้วแทบทุกราย
โดยส่วนใหญ่การแก้ปัญหานั้น จะขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการและตัวเจ้าของกิจการเป็นสำคัญ อาทิ หากเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของกิจการจะลงมาลุยแก้ปัญหาเอง ดูแลเกือบทุกขั้นด้วยตัวเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด และหากเป็นกิจการขนาดใหญ่ขึ้นมา ทางเจ้าของกิจการจะดำเนินการสรรหาผู้จัดการโครงการที่มีฝีมือและประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้มาบริหารแทน เพื่อสร้างหลักประกันให้โครงการสำเร็จอย่างมีกำไรได้ ซึ่งปัจจุบัน การหาผู้จัดการโครงการที่มีคุณสมบัติดังกล่าวค่อนข้างยาก จึงมีผู้รับเหมาหลายรายที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะเสี่ยงทั้งโดยยอมเสนอราคางานต่ำๆ โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงข้างหน้าเพื่อให้ได้งาน ทั้งที่ไม่ยังสามารถหาทีมงานทีมีความสามารถมาเสริมได้ ในขณะเดียวกันการบริหารภายในก็ขาดระบบ ผลก็คือ งานขาดทุน เงินสดหมุนเวียนไม่เพียงพอ ทำให้งานหยุดชะงักเพราะไม่มีเงินจ่ายคนงาน, ผู้รับเหมาช่วง รวมถึง Supplier ก่อให้เกิดความล้มเหลวส่งงานล่าช้ากว่าสัญญาจนถูกปรับ ถูกฟ้องร้อง บังคับชำระหนี้ และล้มละลายในที่สุด บางรายอาจเปลี่ยนชื่อทั้งของกิจการและตนเองเพื่อหลบเหลี่ยงและจัดตั้งกิจการใหม่เปลี่ยนชื่อใหม่ วนเวียนเช่นนี้ในธุรกิจก่อสร้าง
แม้ว่าธุรกิจก่อสร้างจะมีความเสี่ยงดังที่ได้นำเสนอข้างต้น แต่ก็มีกิจการจำนวนไม่น้อยที่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ด้วยการลดการพึ่งพาความสามารถส่วนบุคคล และเพิ่มระบบการบริหารที่มีประสิทธิผล โดยใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานโครงการ และความคุมทรัพยากรมาช่วย ตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างหลักประกันในการดำเนินโครงการให้เสร็จได้ทันตามกำหนดเวลา ด้วยผลงานที่สอดคล้องตามความต้องการของลูกค้า (Specification) ตามสัญญา
นอกจากนี้ การทำงานอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ ยังสามารถควบคุมต้นทุนและกระแสเงินสดได้ตามเป้าหมาย ทำให้งานไม่หยุดชะงักได้ ทั้งยังมีระบบงานที่สามารถให้รายงานสถานการณ์ค่าใช้จ่ายเทียบกับงบประมาณ และกระแสเงินสดที่เป็นปัจจุบันทันต่อเหตุการณ์ ทำให้มีผลกำไรและกระแสเงินสดที่จะหล่อเลี้ยงกิจการให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมไปกับการเพิ่มพูนความพึงพอใจให้กับลูกค้า สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั่วไปในการบริการที่มีคุณภาพ เสร็จทันเวลาอย่างสม่ำเสมอในทุกๆโครงการที่ได้รับมา ส่งผลให้มีโอกาสได้รับงานมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า "ระบบการบริหารและเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนดังกล่าว" ซึ่งได้แก่
1. ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 มีเป้าหมายที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของกิจการในการส่งมอบผลงานให้ลูกค้าได้คุณภาพตามความต้องการตามสัญญา และสอดคล้องกับข้อกำหนด ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามสัญญาอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ สัญญาที่ได้รับ
2. ระบบบริหารอาชีวอนามัยและความปลอดภัย OHSAS 18001: 2007 และ ISO 45001:2018 มุ่งที่จะควบคุมให้การปฏิบัติงานก่อสร้างมีความปลอดภัยไร้อุบัติเหตุโดยที่ผู้ปฏิบัติ งานทุกคนมีสุขภาพอาชีวอนามัยที่ดี พร้อมในการทำงานสู่เป้าหมายทั้งร่างกายและจิตใจ ใสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย
โดยทั้งมาตรฐานทั้ง 2 ระบบนี้ เป็นระบบบริหารที่เป็นสากลได้รับการรับรองทั่วโลก โดยใช้หลักการการจัดกระบวนการทำงานที่เหมาะสม พร้อมการกำหนดเป้าหมายในแต่ละกระบวนการ (Process Approach) เพื่อการทำงานให้บรรลุเป้าหมายของทั้งโครงการ ด้วยวงจรของ Deming หรือ PDCA คือการกำหนดเป้าหมายและวางแผน (Plan) การซักซ้อมแผนและการนำไปปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบผลการทำงานเทียบกับเป้าหมายเป็นระยะๆ (Check) และการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการทำงานในรอบต่อไปให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Action) วงจร PDCA ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยสากลที่จะสามารถสร้างหลักประกันในการจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ และการปรับปรุงพัฒนาการทำงานและผลงานของแต่ละกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผลงานเบี่ยงเบนจากเป้าหมายและเพิ่มโอกาส สร้างหลักประกันในการบรรลุผลงานให้ได้ตามเป้าหมายหรือดีกว่า ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานทั้ง 2 จึงได้กำหนดให้มีการคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการเบี่ยงเบนจากเป้าหมายในทุกๆ ครั้ง ที่มีการวางแผนหรือที่เรียกว่า Risk – based thinking เหล่านี้คือหลักการสำคัญในการพัฒนาการดำเนินการโครงการสู่คุณภาพและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อันนำไปสู่การเพิ่มพูนความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ในที่สุด
3. เทคโนโลยีการวางแผนและควบคุมโครงการด้วย PERT / CPM ในปัจจุบันมี Software ในการวางแผนและควบคุมโครงการเช่นนี้อยู่หลายรายที่เป็นที่ยอมรับในการนำมาใช้บริหารโครงการตามขนาดของโครงการนั้นๆ Software เหล่านี้จะเป็นแก่นและเครื่องมือสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางให้แก่การบริหารงานโครงการตามมาตรฐานการบริหารข้างตน ช่วยทำให้ผู้บริหารโครงการทราบถึงกระบวนการหรืองานต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการตามลำดับพร้อมทั้งความสัมพันธ์ในแต่ละงาน และกำหนดเวลาการเริ่มและเสร็จ รวมถึงทรัพยากรที่ใช้ในแต่ละงานของโครงการ สามารถทราบถึงสถานะความก้าวหน้าหรือความล่าช้าในงานต่างๆและผลการทบต่อความสำเร็จของงานทั้งหมด พร้อมทั้งทราบถึงการจัดการเพื่อการเร่งรัดให้โครงการเสร็จตามเป้าหมาย ด้วยการจัดสรรทรัพยากรทั้งแรงงาน เครื่องจักรให้เพียงพอโดยเฉพาะงานที่เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของโครงการ หรือ Critical Path ได้ทันเวลา
4. การใช้ระบบงบประมาณ (Budgeting) และระบบการวางแผนทรัพยากร (Enterprise Resource Planning-ERP) ระบบนี้ จะทำให้ผู้บริหารโครงการทราบถึงสถานะเงินสดหมุนเวียน และค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในโครงการตลอดเวลา ทำให้สามารถความคุ้มค่าใช้จ่ายและพิจารณาในการเพิ่มทรัพยากร เพื่อแลกกับกับผลลัพธ์ที่ได้ในการเร่งรัดงานให้ได้ตามเป้าหมาย ทำให้สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดในการบริหารโครงการตามสัญญาได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ระบบการบริหารดังกล่าว นอกจากจะสามารถใช้ในการบริหารภายในแล้ว เจ้าของงาน, ผู้ลงทุน หรือConsultant ในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เป็นเงินลงทุนจากนานาชาติหรือการลงทุนที่มีธนาคารสนับสนุน ก็มักจะกำหนดให้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างโครงการ เพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จของงานอีกด้วย
อย่างไรก็ ตามการนำระบบและเทคโนโลยีใหม่มาใช้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น เจ้าของกิจการ อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับใช้ระบบและเทคโนโลยีใหม่ ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมขององค์กรอย่างแยบยล (Customization) ด้วยความความเชื่อมั่น และศรัทธาในระบบ เทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ จากผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของกิจการเองตลอดจนความร่วมมือจากผู้ปฏิบัติงานในองค์กรทุกคน ในขณะเดียวกันก็ต้องอดทนกับการปรับตัวขององค์กรเพื่อให้เข้ากับระบบเทคโนโลยีและวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรอีกด้วย
ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทุกธุรกิจก็ต้องแข่งขันกันมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง แม้ว่าจะมีโครงการก่อสร้างในประเทศเราเกิดขึ้นอย่างมากในอนาคต แต่ก็มีผู้แข่งขันหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศเข้ามารับงานในประเทศเรามากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นผู้รับเหมาไทยควรจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือบริบททางธุรกิจในปัจจุบันจึงสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน
ถึงเวลาตัดสินใจแล้วหรือยังที่จะพัฒนานำระบบและเทคโนโลยีใหม่ที่ให้ประสิทธิผลมากกว่า มาใช้ในการทำงานก่อนที่จะสายเกินไป