กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--เวิรฟ
"ไทคอน" ผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ประกาศปิดรอบปีงบประมาณบริษัทปี 2561สิ้นสุดกันยายนนี้ โชว์ฟอร์ม 9 เดือนด้วยผลการดำเนินงานดีเยี่ยมกวาดรายได้รวมทั้งสิ้น 3,817 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทะลุ 668 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 171 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมานับจากเดือนมกราคม - กันยายน 2560 พร้อมเผยผล ประกอบการ 3 เดือนสุดท้ายช่วงเดือนกรกฏาคม – กันยายน 2561 รับรู้รายได้กว่า 2,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 304 และมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 219เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สืบเนื่องจากผลสำเร็จของกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรทุกมิติ พร้อมสร้างความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่โดดเด่น คาดปี 2562 สดใสเพราะมีลูกค้าในไปป์ไลน์จ่อเข้ามาใช้บริการพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าคุณภาพสูงอีกจำนวนมาก ทั้งยังเตรียมลุยขยายธุรกิจใหม่ที่สอดคล้องกับเทรนด์และความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าในยุคอุตสาหกรรม 4.0
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON เผย กลุ่มบริษัทไทคอนได้มีการปรับรอบบัญชี (Fiscal Year) เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด ซึ่งรอบบัญชีปี 2561 นี้จะมีเพียง 9 เดือนเท่านั้น โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 และหลังจากนั้นในปีต่อๆ ไปรอบบัญชีใหม่ของบริษัทจะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดย 9 เดือนนี้กลุ่มบริษัทไทคอนมีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,817 ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าเช่าพื้นที่โรงงาน และคลังสินค้ารวม 1,151 ล้านบาท รายได้จากการขายสินทรัพย์คุณภาพสูงให้แก่กองทรัสต์ TREIT มูลค่า 2,210 ล้านบาท และมีรายได้ค่าบริหารจัดการกองทรัสต์ TREIT 227 ล้านบาท ล่าสุดได้ประกาศผลการดำเนินงาน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2561 นับจากเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,590 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 304 และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 233 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 219 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ซึ่งตัวเลขการเติบโตทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากค่าเช่าพื้นที่โรงงาน 102 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่าพื้นที่คลังสินค้า 278 ล้านบาท ตลอดจนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ TREIT มูลค่า 1,569 ล้านบาท
โดยผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เกิดจากการที่บริษัทฯ มีการปรับแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ผ่านมา ทั้งยังมีการสร้างความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศแผนโรดแมป 3 ปี การขับเคลื่อนองค์กรทุกมิติ อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการขยายพื้นที่ให้บริการด้วยการคว้าลูกค้าใหม่จากบริษัทชั้นนำระดับโลกในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ ดีเอชแอล (DHL) ซีว่า ลอจีสติกส์ (CEVA Logistics) ออโต้ลีฟ (Autoliv) ฟอมม์ (FOMM) และเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ฯลฯ ซึ่งในช่วงเวลาเพียง 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นกว่า 240,000 ตารางเมตร ส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นโรงงานและคลังสินค้า (Occupancy Rate) ภายใต้การบริหารจัดการ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 เป็นร้อยละ 73 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้นายโสภณยังกล่าวเสริมเกี่ยวกับการทำงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มไทคอนในการพัฒนาสินทรัพย์ที่ถือครองว่า "ผลประกอบการของกลุ่มไทคอนในรอบ 9 เดือนของปี 2561 นี้ ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งจากภาวะอุตสาหกรรม และการลงทุนที่ขยับตัวดีขึ้น และจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานที่เข้าใจลูกค้ามากขึ้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการทำงานร่วมกับกองทรัสต์ TREIT เพื่อจัด Portfolio ขายทรัพย์สินคุณภาพสูงเข้ากองทรัสต์ TREIT ได้ตามเป้าหมาย ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่กลุ่มไทคอนได้มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจครั้งใหญ่ภายหลังจากการเข้ามาถือหุ้นของกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โดยประสบความสำเร็จในการจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ และเริ่มการขยายธุรกิจไปในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมในโลกยุคดิจิทัล อาทิ การร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ และธุรกิจสมาร์ท โซลูชั่น ถือเป็นการสร้างฐานรายได้ใหม่ในอนาคตให้กับกลุ่มไทคอน
นอกจากนั้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทไทคอนร่วมกับพันธมิตร ได้มีการเข้าซื้อที่ดินย่านบางนาตราด จังหวัดสมุทรปราการ เพิ่มอีกกว่า 4,300 ไร่ เพื่อเพิ่ม Land Bank สำหรับการพัฒนาในอนาคต ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตสูงเหมาะกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทมิกซ์ยูส และโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ซึ่งจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินแปลงนี้ในอีกไม่นาน โดยบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกกลุ่มธุรกิจที่ได้เข้าลงทุนและเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยโดยรวมในปี 2562 จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุน และผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการในการใช้พื้นที่โรงงานและคลังสินค้า พร้อมทั้งบริการอื่นๆ ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มไทคอน จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามไปด้วย"