กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกปี 2561 รวม 7.59แสนล้านบาท เติบโต 13.27% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีความสามารถการทำกำไรดีขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีกำไรสุทธิเติบโตดี คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดธนาคาร และกลุ่มบริการ
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET จำนวน 507 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 95.30% จากทั้งหมด 532 หลักทรัพย์ (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 พบว่า หลักทรัพย์ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 412 หลักทรัพย์ คิดเป็น 81% ของหลักทรัพย์ จดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด สูงกว่า 75% ของช่วงเดียวกันในปีก่อน
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2561 หลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 8,620,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.82% โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 871,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.95% และมีกำไรสุทธิ 759,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สำหรับดัชนีชี้วัดความสามารถทำกำไร พบว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 22.14% ลดลงจากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.10% และ 8.81% ตามลำดับ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 3/2561 พบว่าโครงสร้างเงินทุนของหลักทรัพย์จดทะเบียนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) 1.28 เท่า เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 ที่ 1.15 เท่า
"ผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์จดทะเบียนปรับดีขึ้นสอดคล้องเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและมีการแข่งขันทางการตลาดที่สูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงได้ดี ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET50 ทั้งนี้ หมวดธุรกิจที่มีมูลค่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูง ได้แก่ หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มบริการ ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ประเทศไทยมีศักยภาพการแข่งขันสูง ซึ่งรวมถึงหมวดพาณิชย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดการแพทย์"