กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย จัดงานวันนักการตลาด "Marketing Day 2018" อัพเดตหัวใจการทำธุรกิจยุค Marketpreneurship ผสมผสานหัวใจนักการตลาดกับการเป็นนักวางยุทธศาสตร์ พร้อมมีความยืดหยุ่นฉับไวแบบผู้ประกอบการ เพื่อสร้างสร้างความสำเร็จทางธุรกิจ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ธุรกิจไทยเริ่มเห็นโอกาสในการเติบโต จากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัว ใน 9 เดือนแรกมีการขยายตัวกว่า ร้อยละ 4.3 จากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 อัตราการว่างงานน้อยลง ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 1 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 ปี และการลงทุนที่มีการขยายตัวร้อยละ 3.9 ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งชี้เชิงบวกในระยะเริ่มต้น แม้จะมีความท้าทายจากการสภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจโลกจากสถานการณ์การเพิ่มการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ทำให้การส่งออกนั้นชะลอตัวลงบ้าง แต่ภาพรวมของปีนี้และปีหน้า ยังมองเห็นโอกาสในการพัฒนาภาคธุรกิจของประเทศไทย แต่นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักการตลาด จะต้องมีการปรับตัวเพื่อตอบรับความเปลี่ยนแปลง
เทรนด์การตลาดใน 1-2 ปีที่จะมาถึง จะเริ่มเปลี่ยนจาก Globalization เป็น Localization มากขึ้น เป็นการเติบโตจากภายในสู่ภายนอก เพราะ โอกาสทางธุรกิจภายในประเทศนั้นจะมีมากขึ้น ผู้ประกอบการภายในประเทศจะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น แต่การจะคว้าโอกาสได้นั้น องค์กรต้องมีการปรับตัว เจ้าของกิจการและนักการตลาดจะพึ่งพายอดขายผ่านการสร้างแบรนด์ด้วยโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเดียวนั้นไม่พออีกต่อไป วิธีคิด วิธีปฎิบัติของคนในองค์กรก็ต้องเปลี่ยน ผู้ประกอบการรายย่อยที่ถนัดด้านการผลิต ก็จะต้องมีหัวใจนักการตลาด พร้อมการเป็นนักวางยุทธศาสตร์มากขึ้น ส่วนองค์กรใหญ่ ก็ต้องปรับตัวให้มีความฉับไวและยืดหยุ่นแบบผู้ประกอบการรายย่อย ธุรกิจยุค Marketpreneurship ต้องก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจ รวมถึงนำเทรนด์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์มาให้เสริมประสิทธิภาพ
ในปี 2562 นี้ เทคโนโลยีที่น่าจับตามองคือ เรื่องของ Connected Cloud, Chatbots, Data Analytics และการนำ data ไปใช้ รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น IoT, AI, Machine Learning และ Edge Computing สิ่งเหล่านี้จะมีบทบาทเป็นอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ และธุรกิจที่เปิดรับและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพทั้งการผลิตและการตลาด ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าบริษัทที่นิ่งนอนใจ
ผู้ชนะในน่านน้ำของการแข่งขันในยุคใหม่ ไม่ได้วัดกันที่การเป็น ปลาใหญ่ หรือ ปลาไว แต่เราต้องเป็น "ปลาที่ใช่ หรือ The Right Fish" ซึ่ง หัวใจแห่งความสำเร็จ นั้นประกอบด้วย "5 ใช่" คือ Right People - Right Product - Right Purpose - Right Approach และ Right Time
Right People - คนที่ใช่ ในยุคที่ส่วนแบ่งของตลาดและกลุ่มผู้บริโภคนั้นมีการแบ่งย่อยเป็นอย่างมาก แบรนด์ต้องมีความชัดเจนว่าสินค้าและบริการนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใคร เพราะในโลกยุคปัจจุบัน mass marketing หรือ one size fit all นั้นเริ่มเลือนหายไป และถูกทดแทนด้วย personalized marketing ซึ่งเป็นการตลาดระดับบุคคล ดังนั้น การตั้งโจทย์ที่ถูกต้อง ต้องเริ่มตั้งแต่การตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างตรงจุด
Right Product - สินค้าที่ใช่ การพัฒนาสินค้าและบริการ ไม่ได้มาจากความเชี่ยวชาญขององค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากความต้องการของลูกค้า ในสมัยนี้ไม่ใช่ว่าแค่ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพแล้วคนจะหลั่งไหลมาซื้อ แต่นอกจากดีแล้วยังต้องโดนอีกด้วย คือ สินค้าที่ใช่นั้น ต้องโดนใจและตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาในชีวิตของลูกค้า ดังนั้น แบรนด์จึงต้องใกล้ชิดกับผู้บริโภคให้มากขึ้น และทำความเข้าใจกับความต้องการของพวกเขาให้ได้อย่างถ่องแท้
Right Purpose - วัตถุประสงค์ที่ใช่ เราอยู่ในยุคที่เรื่องของ Shared Purpose เป็นเรื่องสำคัญ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย ความชอบและการเลือกซื้อเป็นระดับบุคคลมากขึ้น ผู้บริโภคจึงมองหาแบรนด์ที่เป็นเหมือนเพื่อนของเขา คิดอะไรเหมือนกัน มีความเชื่อและมีจุดหมายในชีวิตที่เหมือนกัน ดังนั้น แบรนด์ที่มีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าแค่การขายสินค้าและบริการ จึงมักเป็นแบรนด์ที่ถูกเลือก โดยแบรนด์เหล่านี้ต้องพิสูจน์ความตั้งใจดีด้วยการกระทำ ดังนั้นเรื่องของความรับผิดชอบทางสังคม หรือ CSR จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่ถูกฝังลงไปในขั้นตอนและแนวคิดของสินค้าด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจในการ เลือกซื้อ เลือกแนะนำของลูกค้าเป็นอย่างมาก
Right Approach & Right Time ถูกวิธี ถูกที่ และ ถูกเวลา ในยุคที่ผู้บริโภคเป็นใหญ่ แบรนด์ต้องสร้างความเข้าใจใน customer journey และเข้าให้ถึงผู้บริโภคให้ ถูกวิธี ถูกที่ และ ถูกเวลา โดยไม่มีเส้นกั้นระหว่าง online และ offline อีกต่อไป ทั้งการสื่อสาร ช่องทางการขาย และ การเชื่อมโยงข้อมูลของลูกค้า ทุกอย่างต้องถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยเจ้าของกิจการและนักการตลาด ต้องมองภาพใหญ่ให้ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว รวมถึงการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากช่องทางต่างๆจะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นหัวใจสำคัญที่เจ้าของกิจการและนักการตลาดจะต้องปรับตัว โดยนำแนวคิด 5 Rights ไปปรับใช้ พร้อมเปิดรับแนวทางของ Marketpreneurship โดยผสมผสานหัวใจนักการตลาด กับความเป็นผู้ประกอบการ เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน อรรถพลกล่าวทิ้งท้าย