กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--มหาวิทยาลัยรังสิต
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสำรวจความนิยมของนักการเมืองที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 วิทยาลัยฯ ได้ทำการรวบรวมประชากรครั้งละ 8,000 ตัวอย่างใน 350 เขตเลือกตั้งใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ตามโครงสร้างของประชากรไทยในปัจจุบันคือ ภาค อาชีพ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ฯลฯ ด้วยระดับความเชื่อมั่นทางสถิติ 90% การสำรวจดำเนินการมาแล้ว 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ผลการสำรวจพบว่า ผู้ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนทั่วประเทศมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 29.34% 2) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 26.24% 3) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 24.74% 4) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 10.61% และ 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 4.54% และอื่นๆ ที่เหลือ 4.53%
การสำรวจครั้งที่ 2 วันที่ 13 มิถุนายน 2561 พบว่า คะแนนนิยมของประชาชนทั่วประเทศที่อยากได้คนเป็นนายกรัฐมนตรี เรียงตามลำดับดังนี้คือ 1) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 19.34% 2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 17.31% 3) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 8.93% 4) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 5.68% 5) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 4.36% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 37.61%
ผลการสำรวจครั้งที่ 3 วันที่ 15 ตุลาคม 2561 คะแนนนิยมผู้ที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 19.62% 2) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 16.91% 3) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 16.43% 4) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 14.42% 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 3.52% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 29.10%
ผลการสำรวจครั้งที่ 4 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 คะแนนนิยมผู้ที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 27.06% 2) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 18.16% 3) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 15.55% 4) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 9.68% 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 2.26% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 27.30%
จากผลการสำรวจทั้ง 4 ครั้งแสดงให้เห็นว่า พรรคของนายทักษิณ ชินวัตร (ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย) มาถึงจุดที่กำลังตกต่ำเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้คือ ประการแรก ในระยะเริ่มต้นของการต่อตั้งพรรคไทยรักไทย พรรคนี้เคยมีผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์สูง (กลุ่มเอ็นจีโอ) ในการทำงานกับประชาชนระดับล่างทั่วประเทศ พวกเขาช่วยรวบรวมปัญหาต่างๆ ของคนระดับรากหญ้าขึ้นมาจนช่วยให้พรรคไทยรักไทยสามารถนำเสนอนโยบายและวาทกรรมที่สำคัญ 2 เรื่องคือ 1) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคและ 2) นโยบายกองทุนหมู่บ้านที่สามารถเอาชนะพรรคการเมืองทุกพรรคมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้น แต่ในปัจจุบันเอ็นจีโอส่วนใหญ่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ประการที่สอง พรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทยเคยเป็นผู้นำในการนำระบบการสื่อสารที่ก้าวหน้ากว่าและทันสมัยกว่าในการเอาชนะพรรคคู่แข่ง แต่ในขณะนี้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถนำเอาเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ (Social Media) เช่น เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม และไลน์ ฯลฯ มาสื่อสารกับประชาชนได้ไม่แตกต่างจากพรรคเพื่อไทย ทำให้ความได้เปรียบในเรื่องนี้หมดไปประการที่สาม พรรคไทยรักไทยเคยมีนักวิชาการ นักคิดและนักยุทธศาสตร์ที่ทำให้พรรคนี้มีแนวความคิดและนโยบายที่ท้าทายยิ่งกว่าพรรคการเมืองทุกพรรค แต่ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยขาดบุคลากรเหล่านี้ ทำให้พรรคขาดความสามารถในการสร้างนโยบายการเงินการคลังที่เป็นประโยชน์แก่คนในสังคมส่วนใหญ่ได้ หลังจากที่นโยบายจำนำข้าวและนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 350 บาทต่อวันก่อความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจในระดับมหภาคอย่างร้ายแรง และติดตามมาด้วยการพบว่ามีการทุจริตอย่างรุนแรงเรื่องนโยบายจำนำข้าว คนชั้นกลางจำนวนมากได้หมดความเชื่อถือต่อพรรคเพื่อไทยไป ประการที่สี่ พรรคเพื่อไทยในขณะนี้ขาดผู้นำที่มีบารมีและมีภาวะผู้นำที่สูงมากพอที่จะรวบรวมสมาชิกจำนวนมากให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ภายในกลุ่มที่สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตรเกิดกลุ่มก๊กต่างๆ ที่มีแนวความคิดและการบริหารจัดการที่ยากจะร่วมงานกันได้อย่างราบรื่น และประการสุดท้าย การเกิดขึ้นของพรรคประชารัฐที่กำลังมีอำนาจทางการเมือง และมีนโยบายด้านมหภาคและจุลภาคต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายบัตรคนจนซึ่งมีขอบเขตการให้ประโยชน์แก่คนจนอย่างกว้างขว้าง โดยรวมเอานโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ผนวกรวมเข้ากับนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เบี้ยคนชรา ค่าโดยสารสำหรับผู้ป่วยฯลฯ และพบว่าเป็นนโยบายที่เอาชนะใจกลุ่มคนจนจำนวน 11 ล้านคนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว