กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.เออีซี ประเมินหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ แนวรับที่ 1,628 จุด และ แนวต้านที่ 1,671 จุด หลังคลายกังวลปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน บวกกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC แสดงท่าทีลดกำลังผลิตน้ำมันลงในการประชุมคืนนี้ (6 ธ.ค.) แนะกลยุทธ์ลงทุน หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มโรงแรมด้วยกระแสเงินสดแข็งแรง ชู SSP-BPP-GUNKUL-CENTEL รองลงมาหุ้นกลุ่มหนี้สินต่อทุนต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยน้อย ชู TPIPP-HANA รวมทั้งหุ้นที่มี Fixed Coupon Rate และสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวสูง ชู KTC-MTC-SAWAD และสุดท้ายหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ 35-40% ขึ้นไป และมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยน้อยกว่า 10% ชู KBANK-BBL
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวแดนบวกในกรอบ 1,628-1,671 จุด เนื่องจาก Trade wars ของสหรัฐฯ-จีนที่ลดความรุนแรงลง และสัญญาณการฟื้นตัวของน้ำมันดิบหลังคาด OPEC จะมีการลดกำลังผลิตน้ำมัน บวกกับข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ในช่วงวันที่ 1-30 พ.ย. พบว่า นักวิเคราะห์มีการปรับลดประมาณการ EPS ในปี 2561 และ 2562 ลง โดยจากที่คาดกำไรในปี 62 จะโต 9.5% จากปีก่อนเป็น 8.6% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนผลประกอบการช่วงไตรมาส 3/2561 ที่ชะลอตัว
ส่วนประเด็นที่ยังคงน่าติดตามในช่วงนี้ คือ การประชุมนอกรอบระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้น ผิ้ง ออกมาในโทนบวก โดยได้ข้อสรุปร่วมกันที่จะชะลอแผนขึ้นภาษีสินค้ารอบใหม่และการปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าจีนมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์จาก 10% เป็น 25% ออกไป 90 วัน เพื่อหาทางออกด้านการค้าร่วมกัน ซึ่งแม้ยังขาดรายละเอียดเชิงลึก แต่เบื้องต้นจีนรับปากที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และตกลงที่จะแก้ปัญหาทางโครงสร้าง (ด้านทรัพย์สินทางปัญญา, อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และการบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี) คาดสร้าง Sentiment บวกให้กับตลาด EM ที่มี Supply Chain สินค้าเกี่ยวเนื่องกับจีนอยู่มาก รวมถึงลดแรงกดดันในส่วนของความต้องการใช้พลังงานที่กดดันราคาน้ำมันดิบในช่วงที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ยังมีการพูดคุยนอกรอบระหว่างผู้นำซาอุฯ และรัสเซีย ออกมาในเชิงบวกเช่นกัน โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะสนับสนุนให้ทางกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ขยายกรอบร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตออกไป แต่สำหรับจำนวนกำลังการผลิตที่เหมาะสมต้องรอข้อสรุปจากที่ประชุม OPEC ในคืนวันที่ 6 ธ.ค. นี้ อีกด้วย
ขณะเดียวกันประธาน Fed มีมุมมอง Dovish มากขึ้น จากการแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ครั้งล่าสุด สะท้อนว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันได้เข้าใกล้ระดับที่เป็นกลางที่เป็นระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของสหรัฐฯ แล้ว สงผลให้ตลาดเริ่มปรับลด Implied Prob. ของการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้งในปีหน้า คาดหนุนให้ Fund Flow ชะลอการไหลออกจากตลาด EM
ดังนั้น เรามองว่าการปรับตัวลงของ SET Index ในช่วงก่อนหน้านี้ได้สะท้อนประเด็นลบดังกล่าวหมดแล้ว จึงแนะนำหุ้นที่น่าสนใจ ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือกและกลุ่มโรงแรมซึ่งโครงสร้างธุรกิจมีกระแสเงินสดแข็งแรง ได้แก่ SSP (S7.5,R7.9), BPP (S23.2,R23.9), GUNKUL(S3.15,R3.30), CENTEL(S41,R43) 2) หุ้นกลุ่มหนี้สินต่อทุนต่ำคาดได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยน้อย ได้แก่ TPIPP(S5.95,R6.30), HANA(S33,R35) 3) บริษัทที่ Fixed Coupon Rate และมีสัดส่วนเงินกู้ระยะยาวสูง ได้แก่ KTC(S33,R35), MTC(S49,R51), SAWAD(S47.75,R51) และ 4) หุ้นกลุ่มธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในสัดส่วน 35-40% ขึ้นไป และมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยน้อยกว่า 10% ได้แก่ (KBANK(S190,R196), BBL(S205,R210)