STI เคาะราคาไอพีโอ 6.30 บ./หุ้น เปิดจองซื้อ 6 – 7 และ 11 ธ.ค.61 นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 6, 2018 13:18 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--IR PLUS STI เคาะราคาขายไอพีโอ 6.30 บ./หุ้น แต่งตั้ง บล.เคทีบี เป็นแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีกทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.เอเซียพลัส , บล.เคที ซีมีโก้ และ บล.กรุงศรี กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 – 7 และ 11 ธ.ค.61 นี้ มองกำหนดราคาไอพีโอเหมาะสม เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ในฐานะผู้นำในกลุ่มธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาอย่างครบวงจร โชว์ผลงานงวด 9 เดือนแรกของปี 61 รายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 443.99 ลบ. โต 28.31% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30.48 ลบ. งานในมือทะลักที่ 770.09 ลบ. หนุนการรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว เงินที่ได้จากการระดมทุนราว 428.40 ลบ. ใช้พัฒนาบุคลากรและระบบเทคโนโลยี รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดนำ STI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 19 ธ.ค.นี้ นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 68,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 25.37 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วย ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด , บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอไว้ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้รวมประมาณ 428.40 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ประมาณ 338.40 ล้านบาท หวังตั้งกลุ่ม STI ให้เป็นสถาบัน ยกระดับวิศวกรให้มีมาตรฐานสากล และเติบโตเคียงคู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างยั่งยืน ด้านผลประกอบการของกลุ่ม STI ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรก ของปี 2561 นี้ (มกราคม - กันยายน) กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการ 443.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.31% เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 อยู่ที่ 346.01 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 30.48 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานที่ให้บริการในงวดดังกล่าว เช่น โครงการ One Bangkok และ โครงการ The PARQ เป็นต้น มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 114 โครงการ สะท้อนการรับรู้รายได้ของกลุ่ม STI อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ และสนับสนุนรายได้ในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ หนึ่งในงานดังกล่าว คือ โครงการ One Bangkok โครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นโอกาสของกลุ่ม STI ให้ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การประมูลงานใหม่ๆ เพื่อสร้างการรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STI เปิดเผยถึง การกำหนดราคาเสนอขาย IPO ไว้ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 – 7 และ 11 ธันวาคม 2561 นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ในหมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "STI" ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 51 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 10.20 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 6.80 ล้านหุ้น กลุ่ม STI มีจุดเด่น จากผู้บริหารมีชื่อเสียง มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 30 ปี ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งภาครัฐบาลและบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโครงการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง มีประสบการณ์ในงานด้านอนุรักษ์โบราณสถานอย่างโดดเด่น ซึ่งมีคู่แข่งน้อยราย และจากการมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ คอนโดมิเนียม มิกซ์ยูส อาคารสำนักงาน บ้านพักอาศัย อาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น ทำให้ลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงลูกค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ สนับสนุนให้ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้กลุ่ม STI สามารถเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 600 คน รองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้น รวมถึง นำไปพัฒนาแอพพลิเคชั่น และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ STI เป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตามอง และมีแนวโน้มการเติบโตสูงตามการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ มอง STI เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีการเติบโตโดดเด่นในระยะยาว ควบคู่กับการเป็น Dividend Stock มีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ