กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส
ปอร์เช่ 911 ใหม่ (The new Porsche 911) – ยนตรกรรมสปอร์ตสุดไฮเทคที่มาพร้อมงานออกแบบอันเปี่ยมเอกลักษณ์
ปอร์เช่ เผยโฉม 911 ยนตกรรมสปอร์ตเรือธงระดับตำนาน เจเนอเรชั่นที่ 8 ณ Petree Hall ในงานมหกรรมยานยนต์ Los Angeles Auto Show สำหรับงานนี้ Oliver Blume ในฐานะ CEO ของ Porsche AG ได้กล่าวไว้ว่า "แคลิฟอร์เนีย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการแนะนำตัวปอร์เช่ 911 รุ่นใหม่ (The new Porsche 911) ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา พื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของปอร์เช่ก็ว่าได้" นอกจากนี้เขายังเน้นย้ ต่อ ไปว่า "ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) เจเนอเรชั่นที่ 8 ไม่เพียงแต่ทรงพลัง แต่ยังขับขี่ได้สนุกสนานเร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือรถสปอร์ตที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ล้ำยุคมากมาย และที่สำคัญเหนือกว่าทุกอย่างที่กล่าวมานั้น ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ยังคงดำรงสถานะที่รถคันนี้ เป็นมาโดยตลอด นั่นคือความเป็นสปอร์ตพันธุ์แท้ที่เปี่ยมล้นไปด้วยศักยภาพในการปลุกเร้า ชีพจรของผู้หลงใหลใน ยนตรกรรมปอร์เช่: นี่คือรถสปอร์ตซึ่งเปรียบได้กับสัญลักษณ์ หรือ icon ของเรา
งานออกแบบที่ถ่ายทอด DNA ของปอร์เช่ คือสิ่งที่ได้รับการยึดถือปฏิบัติอย่างเหนียวแน่น ภาพลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอก ถึงความแข็งแกร่ง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร ควบคุมการทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสความละเอียด สูงขนาด 10.9 นิ้ว ปอร์เช่ 911 ใหม่ (The new Porsche 911) คือยานยนต์ที่ท้าทายทุกข้อจำกัดของกาลเวลา เปี่ยมล้นด้วยอัจฉริยภาพแห่งการบังคับควบคุมจากระบบช่วงล่างชั้นเลิศ ผสานการทำงานกับนวัตกรรมระบบช่วย เหลือการขับขี่ล้ำสมัย คล่องแคล่ว ปราดเปรียว มั่นใจทุกสถานการณ์รักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของยนตรกรรมสปอร์ต เครื่องยนต์วางหลังสุดคลาสสิค รองรับทุกความต้องการและความสะดวกสบายด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล
ขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบนอน เทอร์โบชาร์จ เจเนอเรชั่นล่าสุด พัฒนาขึ้นใหม่และให้พละกำลังมากกว่ารุ่นเดิม ที่ 450 แรงม้า (331 กิโลวัตต์) สำหรับรุ่นเอส (S) สมรรถนะที่เหนือล้ำยิ่งขึ้น เกิดจากการปรับปรุงกระบวนการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับเปลี่ยนการวางตำแหน่งของระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์และระบบ charge air cooling ใหม่ พละกำลังมหาศาล จะถูกส่งต่อไปยังระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะคลัทช์คู่ 8 จังหวะ เสริมด้วยนวัตกรรมระบบช่วยเหลือการขับขี่รุ่นล่าสุด มากมาย รวมทั้งโปรแกรมควบคุมการขับขี่ Porsche Wet เพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะใช้งานบนเส้นทางเปียกลื่น และระบบเพิ่มทัศนวิสัยยามค่ำคืนหรือ Night Vision Assist พร้อมกล้องตรวจจับวัตถุด้วยอุณหภูมิ thermal imaging camera
Detlev von Platen สมาชิกคณะกรรมการบริหาร ผู้กำกับดูแลส่วนงานขายและการตลาดของ Porsche AG แสดงทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของตลาดในภูมิภาคสหรัฐอเมริกาที่มีต่อบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมันไว้ว่า: "ยนตรกรรมปอร์เช่มากกว่า 55,000 คัน ได้รับการส่งมอบถึงมือลูกค้าทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2017 ที่ผ่านมา แน่นอนว่า Porsche Cars North America ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของเรา ได้สร้างสถิติตัวเลขยอดจำหน่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่องในปี 2018 เหนือสิ่งอื่นใด เป็นที่ปรากฎชัดเจนแล้วว่าไม่มีรถยนต์รุ่นใดที่จะได้รับความนิยม จากชาวอเมริกันได้ดีไปกว่าปอร์เช่ 911 (Porsche 911) กว่า 1 ใน 3 ของ 911 ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในโรงงานที่ Zuffenhausen ถูกส่งมาโลดแล่นอยู่บนท้องถนนในประเทศสหรัฐอเมริกา"
งานออกแบบตัวถังภายนอกที่สืบทอดความเป็น 911 มาทุกยุคสมัย
งานออกแบบตัวถังภายนอกที่คงความเป็นอมตะตลอดกาล สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เจเนอเรชั่นที่ 8 ของปอร์เช่ 911 (Porsche 911) มีขนาดความกว้างเพิ่มขึ้น แข็งแกร่ง ดุดันยิ่งขึ้น และเหนือชั้นยิ่งกว่า ซุ้มล้อที่ได้รับการขยายเพื่อรองรับล้อ อัลลอยคู่หน้าขนาด 20 นิ้ว และคู่หลังขนาด 21 นิ้ว สำหรับโมเดลล่าสุดนี้ ตัวถังในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังได้รับการปรับมา ใช้รูปแบบเดียวกับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งนี้มิติตัวถังด้านท้ายมีขนาดกว้างขึ้นถึง 44 มิลลิเมตร ขณะที่มิติตัวถังด้านหน้า ในทุกรุ่นมีขนาดกว้างขึ้นถึง 45 มิลลิเมตร ผลลัพธ์จากการปรับแต่งรูปทรงตัวถังภายนอก โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ ของปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ทุกเจเนอเรชั่นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น: ฝากระโปรงหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน วางตัวต่อเนื่องกับกระจกบังลมหน้าที่ให้ทัศนวิสัยปลอดโปร่งยิ่งขึ้น ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวทำให้มุมมองด้านหน้าของรถ ดูยาวและสร้างภาพลักษณ์ที่พร้อมจะทะยานไปข้างหน้าตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ระบบไฟหน้า LED ใหม่ล่าสุด เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ตอกย้ำอย่างหนักแน่นถึงความล้ำสมัยของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่อยู่ใน 911 โคมไฟคู่หน้าทรงกลม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดโดดเด่นของปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ได้รับการติดตั้งอย่างสนิทแนบเนียนไปกับชิ้นส่วน ตัวถังโดยไร้รอยต่อราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน แนวตัวถังด้านข้างราบเรียบกลมกลืนด้วยมือเปิดประตูแบบ electrical pop-out handles กระจกมองข้างรูปแบบใหม่ ให้ประสิทธิภาพในและลดเสียงรบกวนจากการปะทะลม พร้อมฟังก์ชันปรับและพับ ได้ด้วยไฟฟ้า
ตัวถังด้านท้ายรถในทุกรุ่นบ่งบอกถึงขนาดความกว้างที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสริมความสปอร์ตเต็มพิกัดด้วยสปอยเลอร์ หลังปรับระดับได้หลายตำแหน่ง เรียบหรูงามสง่าด้วยแผงไฟท้าย light bar คาดยาวตลอดแนวตัวถัง ครีบดักอากาศ แนวตั้งบริเวณฝากระโปรงท้ายวางตัวต่อเนื่องกับบานกระจกบังลมหลังอย่างกลมกลืน ติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 ไว้ภายในครีบ ดักอากาศอย่างแนบเนียน ไฟเบรกดังกล่าวจะถูกแทนที่เมื่อสปอยเลอร์หลังทำงาน โดยชุดไฟเบรกที่ติดตั้งอยู่กับตัว สปอยเลอร์ อีกหนึ่งจุดที่สร้างความแตกต่างคือครีบดักอากาศในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังเป็นวัสดุสีดำ สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel-drive เป็นวัสดุโครเมียม ทุกส่วนประกอบของชิ้นงานตัวถังภายนอกล้วนแล้วแต่ได้รับการผลิตขึ้น ด้วยอะลูมิเนียมที่แข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา
งานออกแบบภายในที่เด่นชัดด้วยอัตลักษณ์
การตกแต่งภายในห้องโดยสารสมบูรณ์แบบด้วยบุคลิกที่เด่นชัด เป็นผลจากความปลอดโปร่งที่ เกิดขึ้นจากแนวเส้นตรงของ แผงคอนโซลและแผงหน้าปัทม์ ซึ่งแรงบันดาลใจในการออกแบบได้รับอิทธิพลจากปอร์เช่ 911 (Porsche 911) รุ่นปี 1970 มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ติดตั้งบริเวณกึ่งกลาง อันเป็นสไตล์ดั้งเดิมของปอร์เช่ ประกบด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ทั้ง ฝั่งซ้ายและขวาบริเวณคอนโซลกลางเป็นตำแหน่งหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงของระบบ Porsche Communication Management ขนาดใหญ่ถึง 10.9 นิ้ว ใช้สำหรับควบคุมและสั่งการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย นอกจากนี้ชุดสวิทช์สไตล์ดั้งเดิมสุดคลาสสิกที่วางตัวอยู่ด้านล่างของหน้าจอทั้ง 5 นั้น ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่ ผู้ขับขี่ต้องการเข้าถึงฟังก์ชันหลักของตัวรถโดยตรง เบาะนั่งเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์หลักภายในห้องโดยสารที่ได้รับการพัฒนา โครงเบาะดีไซน์ใหม่ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถลงได้ถึง 3 กิโลกรัม รูปทรงเบาะที่ได้รับการปรับแต่งเพิ่มความกระชับ บริเวณหัวไหล่และรองรับลำตัวของผู้ขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ความนุ่มนวลสะดวกสบายในการใช้งานโดยรวมได้รับการ ปรับปรุงให้ดีขึ้น ในขณะที่ระดับความสูงลดลงถึง 5 มิลลิเมตร และชิ้นส่วนของเบาะมีขนาดบางลงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น ก่อนหน้า
ปลอดภัยและสะดวกสบายเหนือระดับด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่สุดล้ำ
นับเป็นครั้งแรกของโลก สำหรับการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ Wet mode ในยนตรกรรมปอร์เช่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบดังกล่าวจะรับหน้าที่ตรวจจับปริมาณน้ำที่ขังอยู่บนพื้นผิวเส้นทาง ปรับแต่งระบบควบคุมอื่นๆ และส่งสัญญาณ เตือนไปยังผู้ขับขี่ เพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้าให้แก่รถยนต์ทั้งคัน ตอบสนองต่อความปลอดภัยสูงสุดในสถานการณ์สุ่ม เสี่ยง เพียงกดปุ่มสั่งการทำงานหรือปรับตั้งผ่านชุดสวิทช์เลือกโปรแกรมการขับขี่บนพวงมาลัย (เมื่อติดตั้งชุดแต่งเพิ่ม สมรรถนะ Sport Chrono Package) นอกจากนี้ ระบบ warning and brake assist ซึ่งได้รับการติดตั้ง เป็นมาตรฐานเช่นเดียวกัน จะรับบทบาทในการตรวจสอบอัตราเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการเฉี่ยวชนจากวัตถุเคลื่อนไหวอื่นๆ และสั่งการเบรกฉุกเฉินล่วงหน้าในกรณีที่จำเป็น เติมเต็มความปลอดภัยด้วยระบบเพิ่มทัศนวิสัยยามค่ำคืน Night Vision Assist พร้อมกล้องตรวจจับวัตถุด้วยอุณหภูมิ thermal imaging camera อุปกรณ์พิเศษติดตั้งเพิ่มเติมที่ สามารถเลือกได้เป็นครั้งแรกสำหรับปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกติดตั้งระบบควบคุม ความเร็วและระยะห่างแบบแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control includes automatic distance control ระบบ stop and go การทำงานของเครื่องยนต์ ระบบ reversible occupant protection และนวัตกรรมล่าสุดระบบ autonomous Emergency Assist
ขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบนอน สมรรถนะสูง เจเนอเรชั่นล่าสุด
ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ประจำการด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบนอน เทอร์โบชาร์จ เจเนอเรชั่นล่าสุด พัฒนาขึ้นใหม่และให้พละกำลังมากกว่ารุ่นเดิม สมรรถนะที่เหนือล้ำยิ่งขึ้นเกิดจากชุดเทอร์โบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ปรับเปลี่ยนการวางตำแหน่งของระบบอัดอากาศและเสริมประสิทธิภาพด้วยเวสเกตที่ควบคุมการทำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ออกแบบระบบ charge air cooling ใหม่ และนับเป็นครั้งแรกสำหรับการติดตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง piezo injectors ทั้งหมดข้างต้นส่งผลต่อศักยภาพโดยรวมของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองได้อย่างไร้ที่ติในทุกสถานการณ์: ปราดเปรียวคล่องแคล่ว ทรงพลังด้วยแรงม้าและแรงบิดที่ล้นเหลือทุกรอบความเร็ว ให้กำลังสูงสุดกว่า 450 แรงม้า (331 กิโลวัตต์) ที่ 6,500 รอบต่อนาที เพิ่มขึ้นถึง 30 แรงม้า (22 กิโลวัตต์) เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เครื่องยนต์ของปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า เอส (Porsche 911 Carrera S) มีแรงบิดเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 30 นิวตันเมตร: รวมแรงบิดสูงสุดกว่า 530 นิวตันเมตร ซึ่งพร้อมรองรับการใช้งานในทุกรอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,300 ถึง 5,000 รอบต่อนาที
ปอร์เช่ 911 ใหม่ (The new Porsche 911) เปิดรับคำสั่งซื้อแล้ววันนี้ทั้งในรุ่นคาร์เรร่า เอส (Carrera S) และในรุ่นคาร์เรร่า 4 เอส (Carrera 4S) ราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับอุปกรณ์มาตรฐานในแต่ละประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมปอร์เช่ บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ทุกสาขา
ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ตำนานยนตรกรรมสปอร์ตบนข้อมือคุณ
Porsche Design ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ในการเปิดตัวปอร์เช่ 911 รุ่นใหม่ล่าสุด (The new Porsche 911) ด้วยนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษ จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 911 เรือนเท่านั้น: "911 Chronograph Timeless Machine Limited Edition" ถ่ายทอดเอกลักษณ์งานออกแบบจากยนตรกรรมสปอร์ตระดับตำนาน สะท้อนบุคลิกภาพที่ไม่เหมือนใคร ผ่านตัวเรือนแห่งเวลาที่สรรสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจงด้วยวัสดุไทเทเนียมคุณภาพสูง แผงหน้าปัทม์ทรงกลมสีดำได้ รับแรงบันดาลใจจากชุดมาตรวัดในรถสปอร์ตพันธุ์แท้ เข็มบอกเวลาสีขาวและตัวเลขชัดเจน รับประกันความแม่นยำใน การอ่านค่าทั้งในขณะขับขี่และบ่งบอกเวลาบนข้อมือ ระบบ totalisator ติดตั้งบริเวณ 6 นาฬิกา และจารึกตราสัญลักษณ์ที่ เกี่ยวข้องกับยนตรกรรมสปอร์ตระดับตำนานไว้ที่ตำแหน่ง 3/6/9 และ 11 ภายในหน้าปัทม์ประทับภาพที่สะท้อนความสง่างามของเส้นสายบนตัวถังปอร์เช่ 911 (Porsche 911) สายรัดข้อมือผลิตจากวัสดุหนังแท้ชนิดเดียวกับที่ใช้ ตกแต่งภายในห้องโดยสารของยนตรกรรมปอร์เช่ นาฬิการุ่นพิเศษนี้จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 โดยบรรจุในกล่องสุดหรูพร้อมป้ายระบุหมายเลขการผลิตประจำเรือน
ผลงานชิ้นเอกจากโรงงาน Zuffenhausen – ยุคสมัยแห่งความแรงที่ผ่านมาถึง 7 เจเนอเรชั่น
เรื่องเล่าขานที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก นับตั้งแต่งานมหกรรมยานยนต์ International Motor Show Germany (IAA) ซึ่งจัดขึ้นที่ Frankfurt ในวันที่ 12 กันยายน 1963: ปอร์เช่จัดแสดงรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ในฐานะตัวแทนของปอร์เช่ 356 (Porsche 356) – ยนตรกรรมซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์จากเมือง Gmuend ประเทศออสเตรีย มาเป็นระยะเวลา 15 ปีก่อนหน้าที่ ปอร์เช่ 911 < (Porsche 911) รุ่นแรก ได้รับการผลิตขึ้นเป็นตัวอย่างถึง 111,995 คัน โดยในขณะนั้นมได้รับการเรียกขานชื่อรุ่นว่า 901 ก่อนที่โมเดลดังกล่าวจะยุติ สายการผลิตลง
หนึ่งทศวรรษหลังจากนั้น ในปี 1973 G series 911 ได้รับการเปิดตัวตามมาภายใต้การเปลี่ยนแปลงมากมาย อุปกรณ์หลายรายการจำเป็นต้องถูกเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยอันเข้มงวดของประเทศสหรัฐอเมริกา และตลาดอื่นๆ ที่สำคัญทั่วทุกมุมโลก โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานบัญชาการตั้งอยู่ในสตุ๊ทการ์ทแห่งนี้ เชื่อมั่นในศักยภาพของพละกำลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบและโครงสร้างตัวถังกัลวาไนซ์ในรุ่นเรือธง จากนั้นไม่นานนัก เวอร์ชั่นเปิดประทุนคาบริโอเลต (Cabriolet) ของ 911 รวมทั้งรุ่นสปีดสเตอร์ (Speedster) และรุ่นหลังคาทาร์ก้า (Targa) ก็ตามมาติดๆ ปอร์เช่ 911 G Series รวมทั้งสิ้นกว่า 198,496 คัน ถูกผลิตขึ้นจนถึงปี 1989
ผู้สืบทอดความสำเร็จรายต่อมา ถือกำเนิดขึ้นด้วยรหัสการพัฒนาที่เรียกขานกันเป็นการภายในว่า type 964ถูกเปิด ตัวออกสู่สายตาสาธารณชนทั่วโลกในปี 1988 เพียงแค่รุ่นแรกของปอร์เช่ 964 ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึง ความเหนือชั้นที่ 911 ใหม่มีติดตัวมา นั่นคือ: ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ซึ่งได้รับการแนะนำเป็นครั้งแรก ของสายพันธุ์ด้วยรุ่น คาร์เรร่า 4 (Carrera 4) นอกจากนี้ปอร์เช่ยังใช้พื้นฐานจากรถรุ่นดังกล่าวนำไปออกแบบพัฒนา 959 รถสปอร์ตสมรรถนะสูงในขณะนั้นหลังจากนั้นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 911 คาร์เรร่า 2 (911 Carrera 2) ก็ตามมาในปี 1989 ด้วยตัวถัง 2 ประตูคูเป้ เปิดประทุนคาบริโอเลต (Cabriolet) และหลังคาทาร์ก้า (Targa) เป็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกันถึงสามรูปแบบ ทั้งนี้ทุกรุ่นล้วนได้รับความไว้วางใจในความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถัง ชิ้นส่วนกันชนที่ได้รับการ พัฒนาขึ้นใหม่หมดจด – ชิ้นส่วนกว่า 85% ของ 964 ถูกผลิตขึ้นด้วยการออกแบบใหม่ นั้บตั้งแต่เดือนตุลาคม 1993 หลังจากปอร์เช่ 911 (Porsche 911) เจเนอเรชั่นที่ 3 ผลิตขึ้นเป็นจำนวน 63,762 คัน ภายในระยะเวลา 6 ปี ถึงเวลาแล้วที่ยนตรกรรมสปอร์ต สายเลือดใหม่จะได้ลืมตาดูโลก
เจเนอเรชั่นที่ 4 ของปอร์เช่ 911 – type 993 – คือหนึ่งในเวอร์ชั่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล ในเบื้องต้น ปอร์เช่วางแผนผลิตรถสปอร์ตรุ่นนี้เพียงแค่ตัวถัง 2 ประตูคูเป้และเปิดประทุนคาบริโอเลต (Cabriolet) เท่านั้น สำหรับรุ่นหลังคาทาร์ก้า (Targa) เริ่มผลิตขึ้นในปี 1995 ซึ่งในขณะนั้นมันได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นด้วยแนวคิดใหม่ล่าสุด: การแทนที่หลังคาที่เปิดออกได้ทั้งแผงด้วยพื้นที่หลังคากระจกขนาดใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกระจกบังลมหลังไปในตัว และโมเดลนี้คือการสิ้นสุดบทบาทของเครื่องยนต์ระบบ air-cooled ระบายความร้อนด้วยอากาศในปี 1998 หลังจากถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวน 68,881 คัน
ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) เจเนอเรชั่นที่ 5 มาพร้อมกับการยุติหน้าที่อันยาวนานของขุมพลังเครื่องยนต์ air-cooled ด้วยรหัสตัวถัง type 996 เริ่มสายการผลิตในปี 1997 นี่คือรถสปอร์ตรุ่นเรือธงสุดคลาสสิคที่นับได้ว่าเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล ในขณะที่บริษัทกำลังตกอยู่ในวิกฤตทางการเงิน หลังจากก่อตั้งขึ้นเป็นระยะเวลา 34 ปี ผู้ผลิตรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน แห่งนี้จำเป็นต้องปรับกลยุทธในการพัฒนาปอร์เช่ 996 (Porsche 996) คันใหม่ ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การจำกัดต้นทุน กระบวนการเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่โมเดลก่อนหน้า โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้สามารถใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกันกับรถยนต์ รุ่นอื่นในสายการผลิตเท่าที่จะทำได้ อาทิ ปอร์เช่ บ๊อกสเตอร์ ใหม่ (The new Porsche Boxster) รวมไปถึงการ ยกระดับระบบความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานตามข้อกำหนดมาตรฐานมลภาวะพร้อมกับการคิดค้นนวัตกรรมอื่นๆ อีกมากมาย สายการผลิตเสร็จสิ้นลงในปี 2005 ด้วยจำนวนการจำหน่ายทั้งสิ้นกว่า 175,262 คัน ปอร์เช่ 996 (Porsche 996) นับเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างคาดไม่ถึง ตลอดระยะเวลายาวนานถึง 40 ปี ของปอร์เช่ 911 (Porsche 911)
เปิดศักราชปี 2004 ด้วย type 997 ซึ่งเป็นปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ที่มีแบบตัวถังให้เลือกหลากหลายกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมาในอดีต: ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถสปอร์ต 2 ประตูคูเป้ หรือหลังคาทาร์ก้า (Targa) รุ่นเปิดประทุนคาบริโอเลต (Cabriolet) หรือ สปีดสเตอร์ (Speedster) ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel-drive ตัวถังมาตรฐานหรือตัวถังกว้าง widened bodyแม้แต่ขุมพลังเครื่องยนต์ที่มีทั้งแบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (water-cooled) หรือไร้ระบบอัดอากาศ และมาพร้อม ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ แยกย่อยไปจนถึงสปอร์ตพันธ์แท้สายสนามไม่ว่าจะเป็นจีทีเอส (GTS) หรือ จีที2 (GT2), จีที2 อาร์เอส (GT2 RS) หรือ จีที3 (GT3) และ จีที3 อาร์เอส (GT3 RS) และรุ่นพิเศษอื่นๆ รวมแบบตัวถังทั้งสิ้นถึง 24 แบบด้วยกัน สามารถตอบสนองทุกความต้องการและเข้ากับทุกบุคลิกภาพของผู้ขับขี่ เจเนอเรชั่นที่ 6 ของปอร์เช่ 911 (Porsche 911) มียอดจำหน่ายที่ทำลายสถิติงอีกครั้งด้วยจำนวน 213,004 คัน
ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา คือยุคสมัยของรถสปอร์ตรหัสตัวถัง 991 ในฐานะยนตรกรรมที่ได้รับการ พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีเหนือระดับที่สุดในขณะนั้น ทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นตัวแทนของความล้ำหน้าของบริษัทได้อย่าง เต็มภาคภูมิ: สมรรถนะและประสิทธิภาพอัดแน่นอยู่ในทุกอณู เริ่มด้วยงานออกแบบที่โดดเด่น เส้นสายและ รูปทรงที่แข็งแกร่ง ทุกรายละเอียดที่ปรากฎบ่งบอกถึงความทรงพลังที่ 991 มีเหนือกว่าปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ทุกรุ่นในอดีต ผลจากระยะฐานล้อที่ขยายกว้างขึ้นถึง 10 เซนติเมตร เสริมด้วยระบบ adaptive aerodynamics: ซึ่ง 911 นั้น คือรถสปอร์ตรุ่นแรกจากปอร์เช่ที่ได้รับการถ่ายทอดระบบไฮเทคดังกล่าวจากรถซูเปอร์สปอร์ต 918 สไปเดอร์ ไฮบริด (Porsche 918 Spyder Hybrid) ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) รหัสตัวถัง 991 สามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงสุด เป็นประวัติการณ์ของยนตกรรมสปอร์ตอมตะ ด้วยจำนวนการผลิตจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2018 กว่า 217,930 คัน
ตั้งแต่ปี 1963 ปอร์เช่ 911 (Porsche 911) ได้รับการผลิตขึ้นเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,049,330 คัน
ติดตามภาพประกอบเนื้อข่าวได้จาก Porsche Newsroom (http://newsroom.porsche.com) และข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนจาก Porsche press database (http://presse.porsche.de)
ปอร์เช่ *911 คาร์เรร่า เอส (Porsche 911 Carrera S): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 8.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 205 กรัมต่อกิโลเมตร
ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 เอส (Porsche 911 Carrera 4 S): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.1 กิโลเมตรต่อลิตร หรือ 9.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร; อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 206 กรัมต่อกิโลเมตร
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานสากล ที่สอดคล้องกับวิธีการ Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ล่าสุด สำหรับค่าการตรวจวัดอัตราการบริโภคน้ำมัน เชื้อเพลิงตามมาตรฐาน NEDC ที่ระบุในบทความนี้ ใช้อ้างอิงได้เฉพาะสภาพการทดสอบในช่วงเวลาเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับค่าการตรวจวัดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงของ NEDC ที่ได้จากวิธีการอื่นใดก่อนหน้าการทดสอบนี้
สำหรับข้อมูลอย่างเป็นทางการของผลทดสอบอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในรถยนต์รุ่นใหม่อื่นๆ สามารถค้นหาได้จากเอกสาร "Guidelines on fuel consumption, CO2 emissions and power consumption of new passenger cars" [Leitfaden ueber den Kraftstoffverbrauch, die CO2-Emissionen und den Stromverbrauch neuer Personenkraftwagen], ผ่านตัวแทนจำหน่ายและสถาบัน Deutsche Automobil Treuhand GmbH (DAT) โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
เกี่ยวกับ AAS Auto Service
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่าง เป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 12 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า "เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR" เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า "AAS The Name you can Trust" ซึ่งพิสูจน์ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี