กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--IR PLUS
STI หุ้นไอพีโอน้องใหม่ กระแสตอบรับท่วมท้น ปิดจองเกลี้ยง 68 ล้านหุ้น เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ ด้วยนักลงทุนมั่นใจพื้นฐานธุรกิจแกร่ง และโอกาสการเติบโตในอนาคต ได้รับความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างอย่างครบวงจร เตรียมนำเงินที่ได้ไปลงทุนพัฒนาบุคลากรและระบบ รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ด้านผู้บริหาร อวด story โตต่อเนื่อง จากการตุน Backlog แล้วที่ 770.09 ลบ. ทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไปจนถึง 3 ปีข้างหน้า ย้ำผลงานปี 61 ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STI เปิดเผยว่า ผลการเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 68 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคา 6.30 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 – 7 และ 11 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
โดยแบ่งเป็น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 51.00 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 10.20 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 6.80 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 19 ธันวาคม 2561 ในหมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "STI"
"หุ้นไอพีโอ STI ที่เสนอขายในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ถือเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่น ในฐานะ STI เป็นผู้นำกลุ่มวิศวกรที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างอย่างครบวงจร ครอบคลุมถึงบริการงานออกแบบด้านสถาปัตยกรรม และเชี่ยวชาญในงานอนุรักษ์โบราณสถาน เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะเพิ่มขีดความสามารถในการเติบโตของกลุ่ม STI นำไปใช้พัฒนาบุคคลากรและระบบเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจ และรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต" นายรัฐชัย กล่าว
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI กล่าวว่า ขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ STI จนทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ โดยกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้ เชื่อว่า เป็นผลจากนักลงทุนมั่นใจปัจจัยพื้นฐานธุรกิจ และโอกาสในการเติบโต จากทีมผู้บริหาร ซึ่งเป็นวิศวกรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การทำงานในธุรกิจเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี โดยมีส่วนร่วมในความสำเร็จของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาแล้วกว่า 500 โครงการ มีกลุ่มลูกค้าเป็นบริษัทเอกชนชั้นนำ มีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ รวมถึงภาครัฐบาล ที่มีเงินลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จึงเป็นโอกาสของกลุ่ม STI ให้ได้รับงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวนกว่า 400 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน ประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
นอกจากนี้ เป้าหมายในอนาคตของกลุ่ม STI อาจจะมีการขยายกิจการ ด้วยการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ในระยะเวลาประมาณ 2 – 3 ปีข้างหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายฐานลูกค้า เพิ่มจำนวนบุคลากรเพื่อการขยายตัวของผลการดำเนินงานอย่างยั่งยืนในอนาคต
สำหรับ ผลประกอบการของกลุ่ม STI ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน) กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการ 443.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 28.31% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานที่ให้บริการในงวดดังกล่าว เช่น โครงการ One Bangkok และ โครงการ The PARQ เป็นต้น ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 30.48 ล้านบาท
งานในมือ (Backlog) ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 114 โครงการ โดยแบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 667.12 ล้านบาท และธุรกิจออกแบบงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม จำนวน 102.97 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ไปจนถึงปี 3 ปีข้างหน้า อีกทั้ง การประมูลงานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจ ภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2561 จะสามารถเดินตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่มีรายได้จากการให้บริการ 494.56 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 57.51 ล้านบาท