บลจ.ไทยพาณิชย์ ครองอันดับ 1 ส่วนแบ่งตลาด 17.58%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 15, 2008 14:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ม.ค.--Ripple effect
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เผยผลการดำเนินงาน ปี 2550 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 3.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.03% ครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 17.58% เปิดแผนปี 2551 รุกใน 3 ธุรกิจหลัก ทั้งกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล
นางสาวพัชรินทร์ เตชะเคหะกิจ รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ณ สิ้นปี 2550 ว่า มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) ภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด 357,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139,450 ล้านบาท หรือ 64.03% ส่งผลให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ประมาณ 17.58% แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130,000 ล้านบาท หรือ 76.50% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 51,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,708 ล้านบาท หรือ 17.50% และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 6,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,432 ล้านบาท หรือ 58%
ทั้งนี้ในปี 2551 บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายที่จะเพิ่มขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมดเป็น 480,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 35% และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 ไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มที่ธุรกิจกองทุนรวมให้มีขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเป็น 420,000 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเป็น 22,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเน้นเพิ่มจำนวนบริษัทนายจ้างเป็น 1,200 ราย
ปัจจุบันธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น บริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 4 ประมาณ 11.95% มีจำนวนนายจ้าง 723 ราย เพิ่มขึ้น 148 ราย และมีจำนวนสมาชิก 188,658 ราย เพิ่มขึ้น 16,335 ราย
นางสาวพัชรินทร์กล่าวเพิ่มว่า ภาพรวมของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นการเติบโตที่ดี นับจากการรับโอนธุรกิจมาจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อเดือนเมษายน 2549 และยังคงได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขององค์กรชั้นนำของประเทศ อาทิ บมจ.ปตท สำรวจและผลิตปิโตเลียม, โรงงานยาสูบ , บมจ.ไทยน้ำทิพย์, กฟภ ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนบริษัทนายจ้างเป็น 1,200 ราย
สำหรับธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล บริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 9 ประมาณ 2.30% มีจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น 342 ราย เพิ่มขึ้น 207 ราย แบ่งเป็นลูกค้าสถาบัน 25 ราย และลูกค้าบุคคลธรรมดา 317 ราย โดยในปี 2551 ตั้งเป้าหมายเพิ่มขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนส่วนบุคคลเป็น 22,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ทีมแนะนำการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล ได้ให้บริการทั้งการจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลโดยตรงและให้คำปรึกษาในการลงทุนกองทุนรวม แบ่งเป็น กองทุนส่วนบุคคล 4,000 ล้านบาท และกองทุนรวม 2,632 ล้านบาท
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจกองทุนรวมของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ประมาณ 21.13% ด้วยขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 300,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 76.50% ขณะที่ทั้งอุตสาหกรรมเติบโตประมาณ 37% ซึ่งนอกจากจะมีขนาดมูลค่าทรัพย์สินเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว จำนวนลูกค้ากองทุนของบริษัทฯ ยังเพิ่มขึ้นอีก 65,000ราย หรือประมาณ 40% ส่งผลให้ขณะนี้มีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 230,000 ราย
สำหรับในปี 2551 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของธุรกิจกองทุนรวมเป็น 420,000 ล้านบาท โดยขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ ตราสารหนี้ (SFF), กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมทั้งเสนอขายกองทุนใหม่ๆ อาทิ กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) และกองทุนรวมหุ้น
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มและทิศทางการลงทุนในปี 2551 ว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวใกล้เคียงกับปี 2550 อยู่ที่ประมาณ 4.5-5.0% โดยได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงการใช้จ่ายและลงทุนจากภาครัฐที่สูงขึ้น รวมถึงโครงการขนาดใหญ่
ส่วนปัจจัยลบที่ยังคงกดดันภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับที่สูง และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากปัญหาเรื่อง ซับไพร์ม คาดว่าจะเริ่มประกาศตัวเลขประมาณปลายเดือนมกราคม
ทั้งนี้ยังคงต้องรอความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองหลังจากการเลือกตั้งและโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่หลังเดือนมกราคมนี้
นายชูเกียรติกล่าวว่า ในปี 2551 ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 11 เท่า เทียบกับภูมิภาคที่ P/E ประมาณ 15 เท่า และการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15-20% นอกจากนี้ยังคาดว่ายังคงมีเงินไหลเข้าตลาดทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีอัตราการเติบโตสูงกว่าประเทศอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 คาดว่ามีความผันผวนสูง โดยจะอยู่ในกรอบประมาณ 950 +/- 20 จุด โดยหุ้นที่น่าสนใจลงทุนอยู่ในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มนิคมอุสาหกรรม และกลุ่มขนส่ง
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ ในปี 2551 คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะอยู่ที่ระดับ 3.25% จนถึงครึ่งปีแรก และมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของตลาดการเงินและภาวะแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ในการขยายฐานเงินฝาก
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
โศภิน เงินสวัสดิ์ หรือ มณีทิพย์ ประวัติบริสุทธิ์ หมายเลข 02-932-8668-9 หรือ 089-108-1180
Email address: Sopin.n@rippleeffect.co.th , Maneetip.p@rippleeffect.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ