กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--กรมประมง
สภาวะการประมงไทยในอดีตที่ผ่านมากว่า 30 ปี ประสบปัญหาและมีการร้องเรียนถึงความเดือดร้อนของชาวประมงในหลายด้าน แต่ปัญหาหลักที่มีการหยิบยกในทุกเวทีเรียกร้องถึงปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง คือ ปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากร ปริมาณสัตว์น้ำที่น้อยลง สัตว์น้ำหลายชนิดหายไป เรือประมงมีจำนวนมาก
ซึ่งปัญหาเหล่านี้เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากได้มีการดัดแปลงเครื่องมือประมง มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้สามารถจับสัตว์น้ำได้มากขึ้น หรือนำเครื่องมือประมงชนิดใหม่ๆ เข้ามาใช้ทำการประมง เช่น ลอบพับได้ ลอบหมึกสาย ทำให้มีประเด็นการแย่งชิงทรัพยากรและแหล่งทำการประมงของชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประมงแตกต่างกัน
สาเหตุหลักของปัญหาที่มีการยอมรับโดยทั่วไปคือเกิดการทำการประมงมากเกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ หรือภาวะ Overfishing ในน่านน้ำไทย จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพบว่าอ่าวไทยมีการทำการประมงเกินกำลังผลิตของธรรมชาติโดยเฉพาะสัตว์น้ำหน้าดิน ซึ่งมีการใช้เกินไปถึงร้อยละ 32 กล่าวคือ หากต้องการให้ปริมาณสัตว์น้ำที่จับขึ้นมาธรรมชาติสามารถผลิตทดแทนได้แล้ว ในอ่าวไทยต้องลดกำลังการลงแรงประมงถึงหนึ่งในสามของที่ทำการประมงอยู่เดิม การบริหารจัดการทรัพยากรประมงที่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่สำคัญที่สุดคือ "การลงแรงประมง
ที่แท้จริง" นั้น คือ ประเทศไทยต้องมี "ข้อมูลจำนวนและขนาดของเรือประมง" เนื่องจากเรือที่มีขนาดใหญ่จะมีความสามารถในจับสัตว์น้ำมากกว่าเรือที่มีขนาดเล็กกว่าในเครื่องมือประมงประเภทเดียวกัน
จากปัญหาทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำไทยเสื่อมโทรม ขาดการบริหารจัดการประมงที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เรือประมงบางส่วนออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำ และปัญหาการขาดการควบคุม กำกับ เรือประมงไทยนอกน่านน้ำให้มีทำการประมงอย่างถูกต้องตามกฎหมายสากล หรือข้อกำหนดของรัฐชายฝั่ง หรือ องค์การบริหารจัดการประมงระดับภูมิภาค (RFMO) ในฐานะ "รัฐเจ้าของธง" หรือ "คนไทย" ที่มีการนำเสนอใน "สื่อ" ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงปี 2555 - 2558 ทำให้มีผลกระทบอย่างมากต่อ "ภาพลักษณ์ของการประมงไทย" และ "ความเชื่อมั่นของประเทศไทย" ในการดำเนินการตามพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ได้ให้ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหาด้านการประมงของประเทศไทยคือ "จำนวนเรือประมงที่แท้จริง" จากพระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 กำหนดให้การถอนทะเบียนเรือเป็นหน้าที่ของเจ้าของเรือ โดยไม่ได้ให้อำนาจกับกรมเจ้าท่าในฐานะนายทะเบียนทำการเพิกถอนทะเบียน แม้ว่าเรือลำดังกล่าวจะขาดการต่ออายุใบอนุญาตใช้เรือมากกว่า 30 - 40 ปี หรือมีเรือประมงบางส่วนไม่ได้จดทะเบียนเรือ โดยเห็นได้จากในช่วงปี พ.ศ. 2558 ได้มีการสำรวจเรือประมงในน่านน้ำไทย พบว่ามีเรือประมงจำนวนทั้งสิ้น 45,805 ลำ (ร้อยละ 78 เป็นเรือประมงพื้นบ้าน) โดย 4,499 ลำ เป็นเรือประมงที่ไม่ได้จดทะเบียนเรือ และนอกจากนี้พบว่ามีเรือประมงที่มีการจดทะเบียนเรือประมาณ 8,024 ลำ ไม่มาแสดงตน ต่อมาภายใต้คำสั่ง คสช. ได้ทำการเพิกถอนทะเบียน ซึ่งจากตรวจสอบพบว่าเรือกลุ่มดังกล่าวบางส่วนมีการขาย จม หรือไม่สามารถติดต่อเจ้าของได้ โดยไม่ได้มีการมาเพิกถอนทะเบียนกับกรมเจ้าท่า
และเพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของเรือประมง รัฐบาลได้มีการดำเนินการออกคำสั่ง คสช ที่ 53 /2559เพื่อให้กรมเจ้าท่าสามารถ "งดการจดทะเบียนเรือไว้เป็นการชั่วคราว" และออกคำสั่ง คสช.ที่ 22/2560 เพื่อให้มีการ "ตรวจวัดและจัดทำอัตลักษณ์เรือประมงที่มีการขนาดมากกว่า 10 ตันกรอส" เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลเรือประมงที่ถูกต้อง จากปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลายาวนานการที่สามารถ "Clean up" เรือประมงภายในระยะเวลาอันสั้น (3 ปีที่ผ่าน)นั้น เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง สมาคมประมง ตลอดจนผู้ประกอบการเจ้าของเรือประมง การดำเนินการดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบในฐานะ "รัฐเจ้าของธง" เนื่องจากการจดทะเบียนเรือหรือการให้สัญชาติเรือกับเรือลำใด "รัฐจะกำหนดเงื่อนไขในการให้สัญชาติของตนแก่เรือ ในการ
จดทะเบียนเรือในอาณาเขตของตน และในการใช้สิทธิชักธงของตน เรือย่อมมีสัญชาติของรัฐเจ้าของธง ซึ่งเรือนั้นมีสิทธิชักจะต้องมีความเกี่ยวโยงอย่างแท้จริงระหว่างรัฐกับเรือนั้น"
นอกจากนี้จากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ที่กำหนด "แนวทางในการออกใบอนุญาตทำการประมงให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลผลิตสูงสุดที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยใช้จุดอ้างอิงเป็นฐานในการพิจารณา" ซึ่งเป็นไปตามหลักการความรับผิดชอบในฐานะ "รัฐชายฝั่ง" ซึ่งการดำเนินการทั้ง 2 ส่วนเป็นบทบัญญัติภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2554 และมีผลผูกพันที่ประเทศไทยต้องปฎิบัติตาม ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2554
กรมประมงได้นำข้อมูลเรือที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแนวทางในการออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ มาใช้ในการออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ใน 2 รอบปีการประมงที่ผ่านมา เพื่อให้การลงแรงประมงอยู่ภายใต้ปริมาณผลผลิตสูงสุดที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน แต่อย่างไรก็ตามจากสภาวะทรัพยากรประมงที่ยังอยู่ในสภาวะ Overfishing ซึ่งต้องมีการลดการลงแรงประมงลงอีก กรมประมงพิจารณาออกใบอนุญาตประมงพาณิชย์ให้กับ "ชาวประมงทุกคน" ที่มาขอรับใบอนุญาตและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด โดยใช้ "การบริหารจัดการวันทำการประมง" เพื่อให้ปริมาณสัตว์น้ำที่จะจัดสรรในการทำประมงเพียงพอสำหรับทุกคน ปัจจุบันประเทศไทยมั่นใจได้ว่ามีเรือประมงพาณิชย์ที่มีการทะเบียนเรือและมีใบอนุญาตประมงพาณิชย์จำนวนทั้งสิ้น 10,566 ลำ และมีเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตัน ที่มีการจดทะเบียนกับกรมเจ้าท่าทั้งสิ้น 27,925 ลำ
จากกระแสข่าวการให้ข้อมูลจำนวนเรือประมงที่ทำการประมงเดิมมีมากถึง 80,000 ลำ เป็นการตอกย้ำถึงความล้มเหลวของประเทศไทยในฐานะของ "รัฐเจ้าของธง" และ "รัฐชายฝั่ง" ในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก "รัฐ" ไม่มีความชัดเจนถึงจำนวนเรือที่มีอยู่จริงว่า ยังคงมีตัวเรือจริงเท่าไหร่ เรือที่ถูกต้องตามกฎหมายกี่ลำ ทำการประมงอยู่ที่ไหน ลุกล้ำน่านน้ำรัฐอื่นหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วการขาดการควบคุมเรือประมงไทยที่ออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำทำให้ประเทศไทยกลายเป็น "จำเลย" ในสายตาของต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "Ghoht Ship" ที่สื่อต่างประเทศกล่าวถึงเรือประมงไทย อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้สหภาพยุโรปได้ให้ "ใบเหลือง" แก่ประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่การ "เจรจาต่อรองกับต่างประเทศ" เนื่องจาก "ใบเหลือง" เป็นเพียงการเตือนให้ประเทศไทยรู้ว่ามีปัญหาอะไร การที่จะแก้ไขปัญหาหรือไม่เป็นความรับผิดชอบของ "รัฐ"
ความพยายามในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเป็น "ความรับผิดชอบของรัฐ" ที่จะแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมาเป็นเวลายาวนาน โดยมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของการประมงไทยในอนาคตที่วางไว้ไกลเกินกว่าระยะเวลาของรัฐบาลหรือผลประโยชน์เบื้องหน้าระยะสั้น สำหรับนโยบายจะก้าวเดินไปข้างหน้าคงเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกถึง วิสัยทัศน์และความรับผิดชอบที่ทุกคนจะมีต่อ "อนาคตของประเทศไทย" เพราะทรัพยากรประมงเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน
และในประเด็นการส่งออกสินค้าประมงของไทยที่หลายฝ่ายกังวล พบว่าในรอบปี 2558 - 2560 ที่ผ่านมา
การส่งออกสินค้าประมงของไทยยังคงมีปริมาณ 1.5 - 1.6 ล้านตัน/ปี และมีมูลค่าสินค้าสูงถึง 220,000 ล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าปลาทูน่าและกุ้ง แต่หากในอนาคตประเทศไทยไม่มีการบริหารจัดการประมงและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ในขณะที่กติกาของโลกเปลี่ยนไป มุมมองของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ปริมาณการส่งออกของไทยคงลดลงอย่างที่กังวล เนื่องจาก "ผู้นำเข้าต่างประเทศไม่ซื้อ" เพราะไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับ "ภาพลักษณ์ของบริษัท"
นายอดิศร พร้อมเทพ กล่าวทิ้งท้าย