กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 จำนวน 1,210 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แยกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อม อุตสาหกรรมขนาดกลาง และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ร้อยละ 30.1, 36.3, 33.6 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ตามลำดับ แบ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ร้อยละ 37.8, 16.5, 13.0, 22.0 และ 10.7 ตามลำดับ และแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดในประเทศ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดต่างประเทศ ร้อยละ 80.2 และ 19.8 ตามลำดับ
โดย ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 93.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 92.6 ในเดือนตุลาคม โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
จากการสำรวจพบว่า ในเดือนพฤศจิกายน ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และสูงสุดในรอบ 66 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 จากการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าเพื่อชดเชยวันทำงานที่น้อยกว่าปกติในช่วงเดือนธันวาคม ขณะเดียวกันพบว่าผู้ประกอบการ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น กลุ่มอาหาร กลุ่มยานยนต์ กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ต้นทุนประกอบการได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงจากเดือนตุลาคม
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 107.4 เพิ่มขึ้นจากระดับ 106.7 ในเดือนตุลาคม สะท้อนความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ในระดับที่ดี ผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามขนาดของกิจการในเดือนพฤศจิกายน 2561 จากการสำรวจ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของอุตสาหกรรมขนาดย่อม ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม
อุตสาหกรรมขนาดย่อม ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 76.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 73.6 ในเดือนตุลาคม โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมหล่อโลหะ, อุตสาหกรรมแก้วและกระจก, อุตสาหกรรมเซรามิก เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 100.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 98.7 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมขนาดกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 92.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 91.2 ในเดือนตุลาคม โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดกลางที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมรองเท้า, อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์, อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 108.5 ปรับตัวลดลงจากระดับ 108.9 ในเดือนตุลาคม โดยองค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ลดลง ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 112.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 111.1 ในเดือนตุลาคม โดยองค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเคมี, อุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 112.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 111.3 ในเดือนตุลาคม โดยองค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ รายภูมิภาค ประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 จากการสำรวจ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ขณะที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ ปรับตัวลดลงจากเดือนตุลาคม โดยมีรายละเอียดมีดังนี้
ภาคกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 97.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 95.1 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมในภาคกลางที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมแก้วและกระจก (สินค้าประเภทกระจกแผ่นเรียบ กระจกนิรภัย มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ในธุรกิจก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ขวดแก้วสำหรับบรรจุเครื่องดื่ม มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น)
อุตสาหกรรมอลูมิเนียม (ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และฟอยด์สำหรับห่อหุ้มอาหาร มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากในประเทศ ด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น)
อุตสาหกรรมเหล็ก (สินค้าประเภทเหล็กเส้น เหล็กลวด และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศจากความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐและภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้านการ-ส่งออกมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากตลาดเอเชียและยุโรป)
อุตสาหกรรมในภาคกลางที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ (ผลิตภัณฑ์กระดาษที่ใช้ในสำนักงาน กระดาษคราฟต์ มียอดขายในประเทศลดลง เนื่องจากลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์กระดาษสา ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ลดลง)
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 110.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 109.9 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ภาคเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 79.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 78.4 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมในภาคเหนือที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมสิ่งทอ (เส้นใยสิ่งทอ และเส้นใยประดิษฐ์ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้ผลิตเครื่องนุ่งห่ม ด้านการส่งออกเส้นใยประดิษฐ์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์ผ้าผืน มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม)
อุตสาหกรรมเซรามิก (สินค้าเซรามิก ประเภทจานชามบนโต๊ะอาหาร มียอดขายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นสินค้าประเภท กระเบื้องปูพื้นบุผนัง และสุขภัณฑ์ มีคำสั่งซื้อจากในประเทศเพิ่มขึ้นจากธุรกิจก่อสร้าง)
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปประเภทไม้และเหล็ก มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในการตกแต่งบ้านและคอนโด ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ด้านการส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศสหรัฐฯ)
อุตสาหกรรมในภาคเหนือที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมสมุนไพร (สินค้าประเภทสมุนไพร เครื่องดื่มสมุนไพร มียอดขายในประเทศลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้กระทบยอดขาย ด้านการส่งออกมีคำสั่งซื้อสมุนไพรสำหรับทำสปาจากตลาด CLMV ลดลง)
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 99.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 96.5 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 90.8ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 89.7 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม (เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน โทรศัพท์มือถือ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น ด้านการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทแผงวงจรไฟฟ้า มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น)
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม (เสื้อกันหนาว มีคำสั่งซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ด้านการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปประเภทเสื้อผ้าสตรี และเสื้อผ้าเด็ก มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากสหรัฐ, ยุโรป และเอเชีย)
อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ (คอนกรีตผสมเสร็จ มียอดขายและคำสั่งซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง)
อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่ อุตสาหกรรมแกรนิตและหินอ่อน (ผลิตภัณฑ์หินอ่อน หินประดับ อิฐมวลเบา มียอดขายในประเทศลดลง)
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 102.5 ปรับตัวลดลงจากระดับ 103.1 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่ลดลง ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ภาคตะวันออก ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 110.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 109.7 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ (ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และจีน ผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นตามความต้องใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์)
อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น (เครื่องปรับอากาศมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม สินค้าคอมเพรสเซอร์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศจีน)
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ (สินค้าประเภทอัญมณี มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากในประเทศและตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ เยอรมัน และฮ่องกง ขณะที่เครื่องประดับเงินมาร์คไซต์ พาลาเดียม มียอดการส่งออกไปอินเดียเพิ่มขึ้น เนื่องจากเครื่องประดับเงินของไทยเป็นที่นิยม)
อุตสาหกรรมในภาคตะวันออกที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์หนัง (ผลิตภัณฑ์กระเป๋าหนัง ประเภทกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ มียอดขายในประเทศลดลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง ด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์หนังวัวฟอกสำเร็จ มียอดคำสั่งซื้อลดลงจากประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และจีน)
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 113.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 113.0 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 74.9 ปรับตัวลดลงจากระดับ 75.9 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ยอดรับคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
อุตสาหกรรมในภาคใต้ที่ส่งผลด้านลบต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง มีคำสั่งซื้อภายในประเทศลดลง ด้านการ-ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมีคำสั่งซื้อลดลงจากประเทศจีน)
อุตสาหกรรมโรงเลื่อยและโรงอบไม้ (ไม้ยางพาราแปรรูปมีคำสั่งซื้อในประเทศลดลง ประกอบกับฝนตกต่อเนื่องทำให้การผลิตลดลง ด้านการส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปมีคำสั่งซื้อลดลงจากประเทศจีน เนื่องจากลูกค้ามีการชะลอคำสั่งซื้อ)
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (น้ำมันปาล์มดิบมีสินค้าในสต๊อกมีปริมาณสูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับลดราคาสินค้า กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ)
อุตสาหกรรมในภาคใต้ที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่
อุตสาหกรรมอาหาร (อาหารทะแลแช่แข็ง ปลาทูน่ากระป๋อง มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศสหรัฐฯ และออสเตรเลีย)
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 102.2 ปรับตัวลดลงจากระดับ 102.8 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ยอดรับคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมจำแนกตามการส่งออก
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ จำแนกตามร้อยละของการส่งออกต่อยอดขายในเดือนพฤศจิกายน 2561 จากการสำรวจพบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ กลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศ และกลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม โดยมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มที่มีการส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 50 ของยอดขาย (เน้นตลาดในประเทศ) ดัชนีความเชื่อมั่นฯในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 90.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 88.6 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบ ดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และต้นทุนประกอบการ ผลประกอบการ
สำหรับอุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์, อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม, อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 106.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 105.8 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
กลุ่มที่มีการส่งออกตั้งแต่ร้อยละ 50 ของยอดขายขึ้นไป (เน้นตลาดในต่างประเทศ) ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 110.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 109.6 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
สำหรับอุตสาหกรรมในกลุ่มนี้ที่ค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยาน-ยนต์, อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ, อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและทำความเย็น เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 109.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 110.5 ในเดือนตุลาคม องค์ประกอบดัชนีฯ คาดการณ์ที่ลดลง ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
ในระยะสั้น ผู้ประกอบการเสนอให้ภาครัฐใช้โอกาสจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยไปทดแทนสินค้าที่ทั้งสองประเทศมีข้อพิพาท ขณะเดียวกันผู้ประกอบการควรปรับตัว เน้นการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดอาเซียน