กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--กรมประมง
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 เป็นกฎหมายสากลที่เกี่ยวข้องกับทะเลไว้หมด มีบทบัญญัติทั้งสิ้น 320 ข้อ กับอีก 9 ผนวก โดยครอบคลุมเรื่อง ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง เรือ การเดินเรือ และช่องแคบ รัฐหมู่เกาะ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ ไหล่ทวีป ทะเลหลวง การบริหารและอนุรักษ์สิ่งที่มีชีวิตในทะเลหลวง การแสวงประโยชน์ในพื้นที่ก้นทะเลระหว่างประเทศ การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในทะเล และการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศเกี่ยวกับทะเล เป็นต้น และการเข้าเป็นภาคีของรัฐจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติทั้งหมด โดยไม่มีข้อสงวน ซึ่งประเทศไทยได้มีการดำเนินการก่อนหน้าที่จะมีการให้สัตยาบันในหลายส่วน เช่น การประกาศทะเลอาณาเขตออกเป็น 12 ไมล์ทะเล การประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (ปี2524) และประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2554 โดยรัฐบาลต้องปรับกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามอนุสัญญาดังกล่าว
ภายใต้อนุสัญญาฯ ได้มีการกำหนดเกี่ยวกับสัญชาติของเรือที่รัฐต้องดำเนินการ ดังนี้ "รัฐจะกำหนดเงื่อนไขในการให้สัญชาติของตนแก่เรือ ในการจดทะเบียนเรือในอาณาเขตของตน และในการใช้สิทธิชักธงของตน เรือย่อมมีสัญชาติของรัฐเจ้าของธง ซึ่งเรือนั้นมีสิทธิชักธงจะต้องมีความเกี่ยวโยงอย่างแท้จริงระหว่างรัฐกับเรือนั้น"
และภายใต้ UNCLOS 1982 ยังได้กำหนดสถานะของเรือ "เดินเรือโดยชักธงของรัฐเดียวเท่านั้น และให้เรืออยู่ภายใต้บังคับในสนธิสัญญาระหว่างประเทศหรือในอนุสัญญานี้ เรือมิอาจเปลี่ยนธงของตนในระหว่างการเดินทางหรือในขณะที่แวะยังเมืองท่า" และที่สำคัญคือ "เรือซึ่งออกทะเลโดยชักธงของรัฐสองรัฐหรือกว่านั้นตามสะดวก มิอาจอ้างสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดต่อรัฐอื่นใดได้ และอาจถูกเสมือนเป็นเรือไร้สัญชาติ" ซึ่งการบทบัญญัติดังกล่าวจะครอบคลุมเรือทุกประเภท โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของ "รัฐเจ้าของธง"
และจากกระแสข่าวที่มีการนำเสนอถึง "การบังคับให้เลือกสัญชาติว่าจะเป็นเรือประมงหาปลาเมืองไทย หรือ เรือต่างประเทศ" นั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะถ้าประเทศไทยหรือประเทศใดก็ตามรู้ว่าเรือลำใดมีการดำเนินการเป็นเรือสองสัญชาติเรือลำนั้นต้องเป็น "เรือไร้สัญชาติ" และเป็น "เรือ IUU" ในกรณีเรือประมง ซึ่งต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายไม่ว่าจะมีพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 หรือไม่ก็ตาม
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ "เรือสองสัญชาติ" ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า "ประเทศเป็น IUU หรือไม่"เนื่องจากเป็นการบ่งบอกถึงความรับผิดชอบรัฐในการที่จะควบคุมเรือประมงที่ถือสัญชาติของตน โดยการเรียกร้องให้มีความรับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ ในกรณีที่เรือประมงเวียดนามลุกล้ำเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย กรมประมงได้ทำหนังสือแจ้งเวียดนามให้ดำเนินการควบคุมไม่ให้เรือประมงสัญชาติเวียดนามเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย หรือ กรณีที่ประเทศมาเลเชีย ลงข่าวใน INFOFISH Trade News เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 จากการที่เรือประมงต่างชาติที่ลักลอบเข้าไปทำการประมงในน่านน้ำมาเลเชีย ซึ่งทำให้มีการสูญเสียเงินถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และสำหรับ "เรือประมงสัญชาติไทย" กรมประมงพยายามที่จะกำหนดมาตรการในการควบคุมเรือประมงให้น้อยที่สุด โดยควบคุมเฉพาะเรือประมงที่มีขนาดมากกว่า 30 ตันกรอส (ประมาณร้อยละ 14 ของเรือประมงสัญชาติไทยทั้งหมด) ที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เนื่องจากเป็นเรือที่มีขีดความสามารถออกไปทำการประมงได้ไกลฝั่ง
และภายใต้ "มาตรการรัฐเจ้าของท่าเรือ" (The Agreement on Port State Measures : PSMA) ที่ประเทศไทยได้มีการให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 6พฤษภาคม 2559 กำหนดให้ "รัฐเจ้าของท่า" ต้องมีการตรวจสอบเรือประมงต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินการขนถ่ายสัตว์น้ำ หรือดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ใด ในเขตน่านน้ำของตน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำดังกล่าวมีความถูกต้อง และไม่นำสัตว์น้ำที่ทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักร ในปัจจุบันประเทศไทยมีเรือประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำต่างประเทศเข้ามาเทียบท่าประมาณ 10,000 ลำ/ปี โดยเป็นเรือสัญชาติพม่า กัมพูชา เกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น ปานามา รวมทั้ง มาเลเชีย ด้วย ซึ่งในการเข้าเทียบท่าจะมีการตรวจสอบความถูกต้องกับ "รัฐเจ้าของธง" โดยเฉพาะกรณีมาเลเชีย ทางการมาเลเชียขอให้ประเทศไทยช่วยตรวจสอบกรณี "เรือประมงสัญชาติมาเลเชีย" จะเทียบท่า ณ รัฐต่างประเทศ ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมงของมาเลยเชียก่อน โดยแจ้งว่าเป็นกฎหมายภายในของมาเลเชีย การที่เรือประมงหรือเรือใด ๆ ก็ตามจะเดินทางไปไหนได้หรือไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของ "รัฐเจ้าของธง"เป็นหลัก และการเดินทางในพื้นที่นอกทะเลอาณาเขต และการเข้าเทียบท่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่ดำเนินการได้ตามกฎหมายสากลอยู่แล้ว
การดำเนินการในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามอย่างยิ่งในการกอบกู้ "ภาพลักษณ์ของประเทศไทย" ในฐานะ "รัฐที่มีความรับผิดชอบ" และให้ความร่วมมือระหว่าง "รัฐ" โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ แต่จากการที่กฎกติกาสากลหรือกฎระเบียบภายในของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอาจจะก่อให้เกิดความไม่เข้าใจ ความสับสน จึงอยากขอความกรุณาจากทุกท่านหากมีประเด็นใดที่สงสัย ไม่แน่ใจ กรุณาสอบถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือกรมประมงได้ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสำหรับข่าวสารใด ๆ ก่อนที่จะมีการนำไปสื่อสาร หรือ เผยแพร่ รบกวนพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีผู้ไม่หวังดีนำประเด็นที่มี "ผลต่อภาพลักษณ์" ออกไปขยายผลอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อการประมงไทยโดยรวมเช่นเดียวกับที่ผ่านมา นายอดิศร พร้อมเทพ กล่าวทิ้งท้าย