กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--บลจ.กรุงศรี
นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า "สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2562 นั้น บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตราสารทุนระยะกลางถึงยาว แม้ว่าในระยะสั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย อาจมีความผันผวนและมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามกระแสเงินลงทุนต่างชาติและปัจจัยภายนอกประเทศอยู่บ้าง แต่ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาค โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยมีค่า P/E ปี 2562 อยู่ที่ 14.0 เท่า ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 14.3 เท่า และ 15.4 เท่า ตามลำดับ ด้านอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของไทยอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งสูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เช่นกัน ทั้งนื้ คาดการณ์ว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1,800 – 1,900 จุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า" (ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 30 พ.ย. 61)
"นอกจากนี้ ในระยะกลางถึงยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยไทยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง การใช้จ่ายภาครัฐฯที่มีแนวโน้มขยายตัว การเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน" (ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 26 พ.ย. 61)
"สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในปี2562 มีปัจจัยสำคัญทั้งภายในและภายนอกประเทศที่จะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาด โดยปัจจัยต่างประเทศจะมาจากแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของกลุ่มประเทศขนาดใหญ่และปัญหาการเผชิญหน้าในสงครามการค้าที่อาจจะยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศที่เกี่ยวข้องจะชะลอตัวลง จนส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในตลาดกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เพราะกลัวผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและจะเลือกลงทุนเฉพาะในประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านต่างประเทศมั่นคงเป็นหลัก"
"ด้านนโยบายการเงินในสหรัฐ ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐใกล้จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในวัฎจักร รอบนี้แล้ว อย่างไรก็ดีภายหลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐคาดว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีกสองครั้งในปี 2562 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวได้ดี ส่วนทางด้านธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรแล้ว และคาดว่าจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวทางชัดเจนขึ้น"
"ด้านปัจจัยภายในประเทศคาดว่านักลงทุนจะให้ความสำคัญกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางนโยบายการเงินของไทยเป็นหลัก โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วงไตรมาสสามเริ่มสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมการขยายตัวของไทยเริ่มชะลอลงสอดคล้องกับภูมิภาคโดยมีภาคต่างประเทศทั้งการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นตัวฉุด ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนยังคงเติบโตได้อยู่ ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐยังมีความมั่นใจในการเติบโตของไทยแม้จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ในปีนี้และปีหน้าลงบ้าง"
"ส่วนด้านโยบายการเงินของไทยนั้น ภายหลังจากที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่เคยปรับตัวสูงขึ้นมาในช่วงก่อนหน้าเริ่มกลับมาปรับตัวลดลง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือช่วงกลางถึงยาว เพราะนักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยปรับขึ้นได้ไม่มากเท่ากับของสหรัฐ อีกทั้งพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือยาวมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้ออยู่เป็นระยะ"
"สำหรับผลกระทบกับตลาดตราสารหนี้จากการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากภาวะตลาดและ นักลงทุนได้รับรู้ข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้าแล้ว และคาดว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะรอประเมินผลกระทบและทิศทางเศรษฐกิจไทยอีกระยะหนึ่งก่อนจะพิจารณาถึงโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าปีนี้ นักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนระยะยาวไม่ควรวิตกกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากเกินไป"
"ด้านมุมมองที่มีต่อการลงทุนในต่างประเทศนั้น ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง 3 ปัจจัย ได้แก่ ความไม่แน่นอนในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ความตึงเครียดประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และความกังวลในยุโรปที่มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่หนึ่งการถอนมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรปในเดือนธันวาคม ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจกลับมาทรุดตัวอีกครั้ง ประเด็นที่สองคือความกังวลที่อิตาลีอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ยุโรปอีกครั้ง โดยอิตาลีมีหนี้อยู่ในระดับที่สูงถึง 131%ต่อ GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในยุโรป หากเปรียบ เทียบกับหนี้ของกรีซที่เป็นชนวนให้เกิดการทรุดตัวของดัชนียุโรปในปี 2012 แล้ว หนี้สินของอิตาลีมีความใหญ่กว่าหลายเท่า หากปัญหาครั้งนี้เริ่มจากอิตาลีก็มีความเป็นไปได้ที่วิกฤตนี้อาจใหญ่เกินที่สหภาพยุโรปจะรับไหว ประเด็นที่สามคือการที่พรรคขวาจัดเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมีนัยยะในปีที่ผ่านมา และนโยบายของผู้นำที่ถูกเลือกขึ้นมามักจะมีลักษณะประชานิยมเน้นเอาประโยชน์ของประเทศตนเป็นหลัก ไม่คำนึงความเป็นสหภาพยุโรปหรือส่วนรวม ดังที่เห็นได้จากการต่อต้านและแข็งข้อกับสหภาพยุโรปมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกแยกได้ในอนาคต แม้ว่าในปัจจุบันความเสี่ยงนี้ยังมีไม่มาก ซึ่งประเทศดังกล่าว ได้แก่ กรีซ สเปน อังกฤษ อิตาลี โปแลนด์ และล่าสุด เยอรมัน ที่พรรค CDU ของนาง Angela Merkel เริ่มสูญเสียคะแนนเสียงให้กับพรรคขวาจัดจนนาง Angela Merkel ประกาศวางมือที่จะเป็นผู้นำของพรรคต่อหลังจากหมดวาระในรอบนี้แล้ว"
"สำหรับภาพรวมของตลาดยุโรปในปี2562คาดว่าจะเผชิญกับความท้าทายในประเด็นของความไม่แน่นอนด้านการเมืองและมีความเสี่ยงที่ปัญหาหนี้สินยุโรปจะกลับมาเป็นประเด็นกดดันตลาดอีกครั้ง ด้านการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอาจมีท่าทีชะลอลงจากคาดการณ์ว่าจะขึ้น 3 ครั้งลงมาเหลือ 2 ครั้งในปีหน้า หากตัวเลขเศรษฐกิจในรอบหน้าได้รับผลกระทบจากประเด็นสงครามการค้าและตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่กังวลในต้นปี เนื่องจากราคาน้ำมันนั้นได้ปรับตัวลดลงมาอย่างมากในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนั้นจะส่งผลดีต่อกองทุนตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามในต้นปีหน้ามีความเสี่ยงที่ประเด็นสงครามการค้าจะกลับมาส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดทั่วโลกอีกครั้ง" นางสุภาพร กล่าว