กรุงเทพฯ--8 ม.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
"เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์" เข้าซื้อขายวันแรกราคาเปิดที่ระดับ 1.70 บาท เดินหน้านำเงินที่ได้จากการระดมทุนต่อยอดพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย พร้อมเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่7 มกราคม 2562 เป็นวันแรก เปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.70 บาท
นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอิสระ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนใหญ่เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ที่บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาในประเทศญี่ปุ่น และเข้าร่วมลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ส่วนที่เหลือจะใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมของสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมุ่งสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเติบโตจากปีก่อน โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาจนเป็นโครงการที่พร้อมในการก่อสร้างเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า ได้แก่ โครงการ SAAM Oita 01 Biomass Power และโครงการ SAAM Oita 02 Biomass Power ปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งโครงการละ 19.9 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งเมื่อบริษัทฯ พัฒนาจนเป็นโครงการที่พร้อมในการก่อสร้างตามเงื่อนไขของสัญญา บริษัทฯ จะทำการโอนขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยให้แก่ลูกค้าและรับรู้รายได้ เพื่อให้ลูกค้าเข้าดำเนินการก่อสร้างและดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าภายใต้บริษัทย่อยดังกล่าวต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าร่วมลงทุนในบริษัทอื่น ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น ธุรกิจจัดหาวัตถุดิบเชื้อเพลิง และธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวมวล เป็นต้น ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มบริษัทฯ
ในปี 2558-2560 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 30.8 ล้านบาท 72.5 ล้านบาท และ 71.9 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี52.8% โดยรายได้ในปี 2558 ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการภายใต้สัญญาระยะยาวกับลูกค้า จำนวน 7 โครงการ ในขณะที่รายได้ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มจากการให้บริการตามสัญญาระยะยาว เพิ่มอีกจำนวน 10 โครงการ และรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2558
ในปี 2558-2560 กลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 66.3% 73.0% และ 71.2% ตามลำดับ ในปี 2560 อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเล็กน้อยจากการที่กลุ่มบริษัทฯ มีต้นทุนค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้น กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 4.1 ล้านบาท 30.8 ล้านบาท และ 19.1 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 13.2% 41.8% และ 26.0% ตามลำดับ ในปี 2559 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการและขายไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการที่กลุ่มบริษัทฯ บริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพขึ้น ในปี 2560 กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิที่ลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากกลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นจากการว่าจ้างพนักงานและผู้บริหารเพื่อขยายธุรกิจ การรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของสินทรัพย์เงินมัดจำค่าอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศของกลุ่มบริษัทฯ เป็นต้น
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 53.9 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการบริการและเช่า 41.2 ล้านบาท คิดเป็น 76.2%และรายได้จากการขายไฟฟ้า 12.7 ล้านบาท คิดเป็น 23.5% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 73.3% ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 13.6 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 25.2% สำหรับแนวโน้มในปี 2562 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะพยายามรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรให้ใกล้เคียงหรือมากกว่าระดับที่เคยทำได้ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา
"ในนามของบริษัทฯ มีความยินดี และขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจ และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯ หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนแบบนี้ตลอดไป และในฐานะผู้บริหารจะมุ่งมั่นทำงาน เพื่อให้ธุรกิจมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนทุกท่านต่อไปในอนาคต"นายพดด้วง กล่าว
ด้านนายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM เปิดเผยว่า ราคาหุ้น SAAM เปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกที่ 1.70 บาท เชื่อมั่นนักลงทุนมองเห็นโมเดลธุรกิจของบริษัทฯ มีความน่าสนใจ และมีโอกาสเติบโตจากแผนการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนใหญ่มาใช้ต่อยอดขยายธุรกิจพัฒนาโครงการในต่างประเทศ
"SAAM เป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอิสระ หรือ Renewable Energy Project Developer บริษัทของคนไทยรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ มีจุดแข็งในด้านความต่อเนื่องของรายได้และอัตราการทำกำไรที่น่าสนใจ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีแผนในการขยายธุรกิจพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างการเติบโตในอนาคต การเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ในระยะยาว" นายชาญชัย กล่าว