กรุงเทพฯ--14 ม.ค.--เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ
รายงานข่าวจาก บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ นำโดยนายสิทธิชัย เจิดอำไพ ได้เข้าพบนายสาวิน จินดากุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท และนายขจรพงศ์ คำดี อดีตประธานกรรมการบริหาร เพื่อติดตามความคืบหน้าในการเจรจาขอวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน และแผนการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินภายหลังจากเข้าพบธนาคารกรุงไทย
โดยผู้บริหารบริษัทฯ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกลุ่มธนาคารประชุมเกี่ยวกับกระบวนการควบคุมการเงินและกระแสเงินสด (Cash Monitoring) ให้แล้วเสร็จ ซึ่งหากกลุ่มธนาคารเรียกเข้าร่วมประชุม บริษัทฯ ก็พร้อมร่วมประชุมเพื่อรับฟังกระบวนการต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าโดยเร็วตามแผนที่ได้แจ้งไว้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561
ทั้งนี้หากยังไม่ได้รับแจ้งให้เข้าร่วมประชุมภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการเจรจากับธนาคารเป็นรายๆ ไป และไม่รอมติจากคณะกรรมการร่วมของธนาคารที่กำลังเจรจากันอยู่ เนื่องจากบริษัทฯ เห็นว่าหากปล่อยเวลาเนิ่นนานไปอาจทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งผู้ถือหุ้นพอใจกับคำตอบที่ได้รับและจะเฝ้าติดตามความคืบหน้าจากสถาบันการเงินต่อไป
สำหรับประเด็นการตัดวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ผู้บริหารบริษัทฯ แจ้งว่าอดีตประธานกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้รับหมายเรียกให้เป็นพยานในคดีที่ผู้ถือหุ้นฟ้องธนาคารกรุงไทยแบบกลุ่ม (Class Action) เรื่องการตัดวงเงินสินเชื่อจนเป็นเหตุให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย โดยจะไปเป็นพยานในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ส่วนการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารธนชาตเมื่อเดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา อาจทำให้ผู้ถือหุ้นกู้บางส่วนที่จะได้รับเงินในวันที่ 25 กุมภาพันธ์2562 ไม่ได้รับเงิน ซึ่งผู้บริหารบริษัทฯ ได้แจ้งว่า ฝ่ายกฎหมายของบริษัทฯ ได้ทำเรื่องขอให้ยกเลิกคำสั่งอายัดและจะมีการไต่สวนในวันที่ 23 มกราคม 2562 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และได้แจ้งแก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมว่า อดีตประธานกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้รับหมายเรียกให้ไปเป็นพยานในคดีอาญาที่ผู้ถือหุ้นรายหนึ่งได้ฟ้องผู้บริหารธนาคารกรุงไทย 2 ท่านในคดีเบิกความเท็จต่อศาล กระทั่งศาลทรัพย์สินและการค้าระหว่างประเทศเชื่อและมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชี โดยได้ไปเบิกความเป็นพยานแล้วที่ศาลอาญารัชดาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 และศาลนัดฟังคำสั่งว่ามีมูลหรือไม่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเหตุแห่งการขออายัดจากสถาบันการเงินได้อีก คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้ยกเลิกการโอนเงิน เพื่อทำการค้าไปยังบริษัทย่อยที่ประเทศจีน ซึ่งEarth ถือหุ้น 100% ตามที่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศจีนแล้วนั้น โดยให้นำเงินดังกล่าวไปทำธุรกิจภายใต้บริษัทEarth
ขณะที่ประเด็นการยื่นอุทธรณ์แผนฟื้นฟู ผู้บริหารบริษัทฯ แจ้งผู้ถือหุ้นว่า ฝ่ายกฎหมายของบริษัทฯ จะดำเนินการในสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น และเห็นด้วยกับแนวทางที่ผู้ถือหุ้นนำเสนอ ซึ่งขณะนี้รอดูแนวโน้มของเจ้าหนี้รายใหญ่ว่าจะดำเนินการอุทธรณ์หรือไม่ เพื่อจะได้ประสานเข้าปรึกษาหารือกันต่อไป
ส่วนประเด็นการตรวจสอบเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซียของบริษัทฯ ที่พบว่ามีอยู่จริงและเป็นเจ้าของ 100% โดยมีปริมาณสำรองถ่านหินอยู่กว่า 214,000,000 ตันนั้น บริษัทฯ แจ้งผู้ถือหุ้นว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ไม่ได้ตอบโต้ผ่านสื่อจึงทำให้ได้รับข่าวสารด้านลบเพียงด้านเดียว ซึ่งช่วงนั้นบริษัทฯ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโดยห้ามให้ข่าวในเชิงกระทบกระทั่งกัน ทั้งนี้ผู้บริหารชี้แจงว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้ฟ้องดำเนินคดีแก่สถาบันการเงินแห่งหนึ่งไปแล้ว ประเด็นการตัดเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของบริษัทฯ หลังจากศาลล้มละลายกลางได้รับเรื่องการยื่นขอฟื้นฟูกิจการและได้รับการคุ้มครอง ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของศาล และได้ยืนยันกับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทฯ จะมีการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียงในเร็วๆนี้ ทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจและยินดีมาร่วมช่วยกอบกู้บริษัทให้กลับมาดำเนินธุรกิจและซื้อขายได้ดังเดิม
อย่างไรก็ตามผู้บริหารมีความมั่นใจว่าบริษัทฯ ยังมีศักยภาพและความแข็งแกร่ง สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนมีคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ส่วนที่ประเทศไทยคาดว่าจะมีการส่งสินค้า (Shipment) แรกในเดือนมกราคมนี้ หรืออย่างช้าไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อทวงแชมป์ประเทศไทยคืนตามที่ได้มีการแจ้งไว้ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561