กรุงเทพฯ--18 ม.ค.--แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์
LPN ปลื้มผลประกอบการปี 2550 กวาดยอดขายเกือบหมื่นล้าน พร้อมตั้งเป้ายอดขาย และรับรู้รายได้ปี 2551 เติบโตกว่า 20% จากดีมานด์จำนวนมากของผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรกโดยเฉพาะในตลาดกลาง-ล่าง มุ่งพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี คอนโดทาวน์” เป็นเรือธงด้วยสัดส่วนการพัฒนาที่ 60% พร้อมรักษาฐานลูกค้าเดิมกลุ่ม “ลุมพินี เพลส” และ “ลุมพินี วิลล์” ที่เป็นต้นแบบซิตี้ คอนโด โดยยังคงกำไรขั้นต้นรวม 30% ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่คุมเข้มด้าน คุณภาพในทุกส่วนงาน เน้นจุดแข็งการบริหารจัดการชุมชนภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมเปิดขาย ”ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26” มูลค่ากว่า 1,250 ล้าน เป็น โครงการแรกกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2550 ว่า บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายที่เติบโตจากปี 2549 มากกว่า 20% คิดเป็นยอดขายรวมกว่า 9,000 ล้านบาท ด้วยโครงการอาคารชุดพักอาศัยที่พัฒนาต่อเนื่องจากปี 2549 จำนวน 7 โครงการ และการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 6 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ บดินทรเดชา-รามคำแหง ลุมพินี คอนโดทาวน์ รามอินทรา-หลักสี่ ลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่ ลุมพินี วิลล์ ประชาชื่น-พงษ์เพชร ลุมพินี สวีท ปิ่นเกล้า และ ลุมพินี คอนโดทาวน์ รัตนาธิเบศร์ ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ “ลุมพินี คอนโดทาวน์” ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างจำนวนทั้งสิ้น 3 โครงการ โดยทุกโครงการได้รับการตอบรับ อย่างดียิ่งจากลูกค้า นอกจากนี้ ในปี 2550 บริษัทฯ ยังมียอดรับรู้รายได้ทั้งสิ้นกว่า 6,500 ล้านบาท จากการ โอนกรรมสิทธิ์รวมประมาณ 3,000 ยูนิต ใน 3 โครงการใหญ่ ได้แก่ ลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย และ ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า 2 ซึ่งบริษัทฯ สามารถส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าได้ตาม เป้าหมายและกำหนดเวลาในทุกโครงการ
“ปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จของ LPN ที่สร้างการเติบโตและการยอมรับอย่างต่อเนื่อง นอกจาก กลยุทธ์ในการแสวงหาตลาดใหม่ที่ไร้คู่แข่ง (Blue Ocean Strategy) ซึ่งเป็นไปอย่างแม่นยำมาโดยตลอด การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน (Focus Strategy) ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับกลาง-บนถึงกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่ การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (Cost Leadership) ทั้งต้นทุนทางตรงและทางอ้อม และ การสร้างความแตกต่างด้านสินค้าและบริการ (Differentiation) แล้ว ปัจจัยที่สำคัญได้แก่ การที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับ การบริหารชุมชนที่มุ่งเน้นการสร้างสังคม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” ซึ่งบริษัทฯ ได้ยึดถือและปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมาโดยตลอด ถือเป็นจุดแตกต่าง จากคู่แข่งในทุกบริษัทที่นำไปสู่ความมั่นคงของแบรนด์ (Brand Equity) รวมถึงการบอกต่อเพื่อแนะนำไปยัง กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ สร้างความได้เปรียบที่ทำให้ LPN ไม่จำเป็นต้องลงทุนในสื่อโฆษณา ทั้งการบอกต่อยังเป็น การตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ของ LPN อีกด้วย”
สำหรับปี 2551 ถึงแม้จะมีปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจหรือการเมือง แต่เนื่องจากความต้องการของที่อยู่อาศัยภายในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมัน และภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้มีรายได้ปานกลาง-ล่าง อีกทั้งประมาณ 30% ของประชากรในกรุงเทพฯ ยังคงพักอาศัยอยู่ในห้องเช่า หรือบ้านเช่าเป็นหลัก บริษัทฯ จึงมีแผนในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยอย่างต่อเนื่อง จำนวนทั้งสิ้น 8 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท โดยใช้แบรนด์ “ลุมพินี คอนโดทาวน์” เป็นเรือธง (Flagship) เพื่อ รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมากของกลุ่มระดับกลาง-ล่างนี้ และยังคงรักษาฐานลูกค้าระดับกลาง-บน ที่มีความเชื่อมั่นต่อ LPN ด้วยแบรนด์ “ลุมพินี เพลส” และ “ลุมพินี วิลล์” ที่ LPN เป็น ผู้บุกเบิกและพัฒนาจนเป็น ต้นแบบของซิตี้ คอนโดในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาด และยังคงอัตรากำไร ขั้นต้นไว้ได้ที่ 30% แม้ว่าจะมีสภาวการณ์การแข่งขันที่สูง โดยเมื่อเทียบสัดส่วนการพัฒนา “ลุมพินี คอนโดทาวน์” กับแบรนด์อื่นๆ ของ LPN แล้วจะอยู่ที่ 60:40 ซึ่งภายในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดขายทั้งสิ้น 3 โครงการ โดยมี โครงการ “ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26” เป็นโครงการแรกในกลางเดือนกุมภาพันธ์ นี้ นอกจากนั้น ยังเตรียมรับรู้รายได้อีกเกือบ 8,000 ล้านบาท จาก 5 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี เพลส รัชดา-ท่าพระ ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 44 ลุมพินี คอนโดทาวน์ บดินทร์เดชา-รามคำแหง ลุมพินี คอนโดทาวน์ รามอินทรา-หลักสี่ และลุมพินี วิลล์ รามอินทรา-หลักสี่ และเพิ่มบทบาทของบริษัท พรสันติ จำกัด ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงการในลักษณะที่ไม่ใช่ อาคารชุดพักอาศัยมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท และคงสัดส่วนการลงทุนในบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด อยู่ที่ 20%
“ด้านกลยุทธ์ในการแข่งขัน นอกจากการขับเคลื่อนแนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” แล้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งเน้นด้านคุณภาพ 3rd Step for “Quality Concern” ซึ่งบริษัทฯ จะเร่งพัฒนาเชิงคุณภาพในทุกรายละเอียดของการดำเนินงาน เพื่อสร้างประสิทธิผลและนำองค์กรไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการแข่งขันกับตนเองภายใต้เป้าหมายที่ได้วางไว้ หลังจากที่วิสัยทัศน์ในระยะแรกหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (ปี 2545-2547) คือ การก้าวไปสู่ผู้นำด้านการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย วิสัยทัศน์ในระยะที่สอง (ปี 2548-2550) คือ การดำรงไว้ซึ่งความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย และวิสัยทัศน์ในระยะที่สาม (ปี 2551-2553) คือ การมุ่งพัฒนาเชิงคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้าง LPN ให้เป็นองค์กรคุณภาพ (Quality Organization) โดยยึดหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ในการดำเนินงานเพื่อสร้างสมดุลย์ระหว่างการดำเนินธุรกิจและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (Corporate Environment & Social Responsibility) โดยให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อมและสังคม ภายในโครงการที่ LPN พัฒนาเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากเล็งเห็นถึงผลกระทบของ การพัฒนาโครงการที่อาจมีต่อสิ่งแวดล้อมในเมือง และด้วยการดำเนินงานภายใต้โครงสร้างใหม่ของ L.P.N. Development ซึ่งประกอบไปด้วยการบริหารจัดการภายในที่ครบวงจร ได้แก่ บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งดูแลในการบริหารโครงการ และบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ซึ่งดูแลการบริหารชุมชน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการเติบโตของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคต โดย LPN พัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสร้าง “บ้าน” ให้กับสมาชิกแล้วกว่า 20,000 ครอบครัว คิดเป็น 46 โครงการ 105 อาคาร และมีพื้นที่อาคารที่ต้องดูแลมากกว่า 1.3 ล้านตารางเมตร” นายโอภาส กล่าวเสริม