กรุงเทพฯ--21 ม.ค.--ธามดี พลัส
บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ได้รับผลดีจากราคายางพาราที่มีการฟื้นตัวเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าปี 2562 จะเติบโตขึ้นไปที่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท จากความต้องการยางในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น พร้อมรุกขยายตลาดยุโรป โดยเจรจาลูกค้ายาง 3 ราย คาดชัดเจน Q2 หวังกระจายรายได้ พร้อมเดินหน้าสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตตามแผน
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยถึง ราคายางพาราที่มีการฟื้นตัวเพิ่มขึ้นจากปลายปี 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการยางส่งออกยางในประเทศที่มีความต้องการยางธรรมชาติเพื่อการส่งออกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปริมาณยางธรรมชาติในคลังสินค้าของผู้ส่งออกลดลงในช่วงก่อนหน้า ทำให้ผู้ส่งออกมียางธรรมชาติไม่เพียงพอในการส่งออก จึงต้องเร่งซื้อยางเพื่อส่งออกและรักษาระดับสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับปกติ อีกทั้งรัฐบาลจีนได้เพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจยางของจีน ทำให้บริษัทได้รับอนิสงส์จากเรื่องนี้ เนื่องจากบริษัทได้กำหนดราคาในวันที่ทำการซื้อ- ขายกับลูกค้า และมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเข้ามาเสริมด้วย
สำหรับแผนงานปี 2562 บริษัทจะเติบโตขึ้นไปที่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท ภายใต้คาดการณ์ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูปเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนตัน จากปีนี้ 2.2 แสนตัน ตามความต้องการยางในตลาดโลกจะเติบโตตามปกติในแต่ละปีราว 2-5% โดยบริษัทเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเจรจากับลูกค้าจีน 3 รายที่คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อรวมกันราว 1.5 หมื่นตัน/ปี และวางแผนขยายตลาดลูกค้าสิงคโปร์เพิ่ม โดยปัจจุบันบริษัทมีการทำสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) กับลูกค้าไปแล้วกว่า 11 ราย จากที่มีอยู่ 8 ราย ทำให้บริษัทมีลูกค้าที่รอรับรู้รายได้ที่แน่นอนส่วนหนึ่งแล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างยื่นขอให้ผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป 3 ราย ซึ่ง 1 ในนั้น คือ มิชลิน เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานการผลิตของโรงงานและผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นใบเบิกทางสำหรับการรุกเปิดตลาดส่งออกไปยังยุโรป หลังจากที่ผ่านมาบริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากบริดจสโตนทำให้บริษัทสามารถส่งออกสินค้าไปขายในจีนและภูมิภาคเอเชียได้ดี คาดว่าการตรวจสอบของมิชลินและขั้นตอนต่าง ๆ น่าจะใช้เวลาราว 1 ปี หรือรู้ผลในปี 63 ซึ่งทันเวลารองรับปริมาณผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 63
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการปรับปรุงเครื่องจักรสำหรับผลิตยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจะทำให้กำลังการผลิตยางผสมสูงขึ้น 60,000 ตันต่อปีจะเริ่มเดินเครื่องในเดือน ก.พ.62 ขณะที่แผนการก่อสร้างโรงงานใหม่ผลิตยางแท่ง (STR20) และยางผสม (Mixtures Rubber) กำลังการผลิต 172,800 ตันต่อปีคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562 และเริ่มรับรู้รายได้ส่วนเพิ่มในปี 63 เมื่อรวมทั้งสองส่วนจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตยางพาราแปรรูปเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 465,600 ตัน/ปี ขณะที่บริษัทเน้นการสร้างเสถียรภาพของผลการดำเนินงานไม่ให้ผันผวนตามธรรมชาติของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วยการซื้อสินค้าจริงมาทำมาผลิตเพื่อส่งมอบตามคำสั่งซื้อ ไม่มีนโยบายเก็งกำไรจากสต็อก พร้อมทั้งรักษาสมดุลของฐานลูกค้าเพื่อบริหารความเสี่ยง