กรุงเทพฯ--22 ม.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บล.เออีซี ชี้ รอลุ้นกำหนดวันเลือกตั้ง เชื่อหากระบุวันที่ชัดเจน จะส่งผลบวกต่อภาพรวมของการลงทุน และ GDP ของประเทศ ด้านฝ่ายวิจัย คัดหุ้นเด่น SAWAD - MTC - AMANAH -AMATA-EASTW - GULF – BGRIM-BPP และ GUNKUL น่าจับตา เหตุเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นต่อเนื่องในปี62
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS แนะติดตามความชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้ง ทั้งนี้มองว่าหากทุกอย่างชัดเจน จะส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจในปี2562 มีแนวโน้มขยายตัวได้ราว 4.0-4.2% โดยอ้างอิงภายใต้หากมีการเลือกตั้งระดับประเทศ และท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดในช่วงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้น กว่า 30,000 ล้านบาท ผลักดันให้ GDP เพิ่มขึ้น จากเดิมได้อีก 0.3% โดยคาดว่า SET Index จะกลับมาสามารถยืนในแดนบวก และเคลื่อนไหวแบบ Sideway up โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อกลับจากนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นเรายังคงแนะนำหุ้นในกลุ่มน่าลงทุน ได้แก่
หุ้น SAWAD, MTC และ AMANAH เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากกฎระเบียบ หลังจากธปท. เตรียมประชุมชี้แจงเกณฑ์การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสินเชื่อ ที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกันในวันที่ 25 ม.ค. นี้ โดยจากข้อมูลสรุปเบื้องต้นของธปท. ระบุถึงการควบคุมผู้ให้บริการในระดับประเทศได้แก่ 1) ผู้ประกอบการต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ลบ. 2) ไม่กำหนดวงเงินสินเชื่อขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ และ 3) อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 28% ดังนั้นจึงมองว่าหุ้นดังกล่าวจะได้อานิสงค์
นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัย ยังแนะนำลงทุนใน หุ้นกลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค ซึ่งได้อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่น อาทิ AMATA, EASTW และ GULF หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ลักษณะธุรกิจที่มีความสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งยัง เลือกหุ้นโรงไฟฟ้าที่ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องได้อีก 4-5 ปีข้างหน้า โดยแนะนำ BGRIM, BPP และ GUNKUL ขณะที่ หุ้นขนาดเล็ก ที่คาดกำไรปี 62 โตเด่นบวกกับ Cheap Valuation ได้แก่ JMT และ HARNส่วนภาพรวมของ ตลาดต่างประเทศนั้น ทางฝ่ายวิจัย มองว่า ยังคงเคลื่อนไหวแบบ Sideway up แม้จะมีแรงหนุนจาก การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีความคืบหน้า โดยแหล่งข่าวจากบลูมเบิร์ก รายงานว่า จีนจะมีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยจะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลดลงเหลือศูนย์ในปี 2024 บวกกับในวันที่ 30-31 ม.ค. จะมีการเจรจาการค้าอีกครั้ง ระหว่างรองนายกรัฐมนตรีของจีนนายหลิวฮี และสหรัฐฯทำให้เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้น
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบอยู่ในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง จากผลของสถานการณ์สงครามทางการระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีความคืบหน้าบวกกับกลุ่ม OPEC ปรับลดกำลังการผลิตในเดือน ธ.ค. ลงสะท้อนถึงการร่วมมือกันในกลุ่มตามข้อตกลงร่วมกันปรับลดกำลังการผลิตแต่ยังมีความเสี่ยงจาก ภาวะปิดหน่วยสหรัฐฯที่ยังคงยืดเยื้อยาวนาน (29 วัน) หลังมีความขัดแย้งในประเด็นงบกำแพงกั้นเขตเม็กซิโก มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ทรัมป์ จะยื่นข้อเสนอขยายการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ (Dreamer) แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยพรรคเดโมแครต ทำให้เราคาดว่า วุฒิสภาจะไม่เห็นด้วยเช่นกันเนื่องจากพรรคเดโมแครต คุมเสียงข้างมาก
อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงาน4Q/18 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีผลการดำเนินงาน ทั้งดีกว่าตลาดคาดและแย่กว่าตลาดคาด ซึ่งจะมีการประกาศตัวเลข GDP ของจีนซึ่งตลาดคาดโต 6.4%YoY ลดลงจาก 6.7%YoY ในปีก่อนโดยตลาดคาดว่า เศรษฐกิจจะกดดัน Sentiment ตลาดหุ้นในระยะสั้น