กรุงเทพฯ--24 ม.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
ฟิทช์กล่าวว่า แผนการลงทุนของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในโครงการ Energy Recovery Unit ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อน กำลังผลิตติดตั้ง 250 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ AA-(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ยังไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของ GPSC ในขณะนี้ โดยอันดับเครดิตของ GPSC ยังคงอยู่ภายใต้เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW ที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ฟิทช์เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานะทางการเงินของ GPSC เนื่องจากแหล่งเงินทุนที่บริษัทจะใช้มาจากการกู้หนี้ อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวจะทำให้สถานะทางธุรกิจ และความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงานระหว่าง GPSC และกลุ่ม ปตท. แข็งแกร่งขึ้น โดยทั้ง GPSC และ ไทยออยล์ มีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ GPSC ที่ 'A+(tha)' จะยังคงอยู่ภายใต้เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ จนกระทั่งการเข้าซื้อกิจการของ GLOW เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และโครงสร้างเงินทุนระยะยาวที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการ และสถานะทางการเงินของบริษัทหลังจากการเข้าซื้อกิจการมีความชัดเจนมากขึ้น ฟิทช์ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบแก่อันดับเครดิตของ GPSC เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2561 หลังจากที่บริษัทได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นของ GLOW ในสัดส่วน 69.11 และทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด
ฟิทช์คาดว่าแหล่งเงินทุนที่ GPSC จะใช้ในการลงทุนสำหรับโครงการ ERU จำนวนไม่เกิน 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะมาจากการกู้หนี้เพิ่มเติม ซึ่ง ในมุมมองของฟิทช์ อาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทหลังจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW ลดลงในอัตราที่ช้าลงเมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามประมาณการอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากที่ประมาณการไว้ จนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทต้องชำระเงินลงทุนส่วนใหญ่ของโครงการ ERU ฟิทช์คาดว่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO-adjusted net leverage) หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW ที่ฟิทช์ประมาณการไว้สำหรับปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 4.4 เท่า จาก 3.2 เท่า แต่จะลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่โครงการเริ่มมีกระแสเงินสดจากการดำนเนินงาน
ฟิทช์เชื่อว่าการลงทุนในโครงการ ERU จะทำให้สถานะทางธุรกิจของ GPSC ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และการกระจายตัวด้านสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น GPSC น่าจะได้รับประโยชน์จากกระแสเงินสดของโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากรายได้ทั้งหมดของโครงการมาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับผู้รับซื้อรายเดียวของโครงการ ซึ่งได้แก่ไทยออยล์ โดยสัญญาดังกล่าวป้องกันความเสี่ยงต่อบริษัทจากปริมาณการขายไฟฟ้า และการจัดหาเชื้อเพลิง โดยโครงการจะได้รับการชำระค่าพลังงาน (Capacity Payment) ตามความสามารถในการรักษาการพร้อมจ่ายไฟฟ้าต่อไทยออยล์ โดยไม่ขึ้นกับปริมาณการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้โครงการสามารถส่งผ่านต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและต้นทุนแปรผันที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการผลิตไฟฟ้าไปยังไทยออยล์ได้ การก่อสร้างโครงการน่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 โดยหลังจากโครงการเริมดำเนินการแล้ว โครงการน่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวนประมาณ 2.2 พันล้านบาท ต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 11 ของ EBITDA ทั้งหมดของ GPSC หลังการเข้าซื้อกิจการ GLOW
ในการพิจารณายกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ นอกจากฟิทช์จะพิจารณาผลกระทบทางด้านการเงินจากการเข้าซื้อกิจการของ GLOW และการลงทุนในโครงการ ERU แล้ว ฟิทช์จะพิจารณาถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นจากการลงทุนดังกล่าว นอกจากนี้ฟิทช์จะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง GPSC และบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยรวมถึงการสนับสนุนเพิ่มเติมพิเศษ และความสัมพันธ์ด้านการดำเนินงาน และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.