กรุงเทพฯ--25 ม.ค.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานประกาศเจตนารมณ์ "ขับเคลื่อนมหาสารคาม...สู่การเป็นเมืองหลวงแห่งเกษตรกรรมยั่งยืน" ณ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) บ้านหนองเผือก ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ว่า ปัจจุบันสภาพการผลิตสินค้าเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันกันสูง ส่งผลให้เกษตรกรประสบปัญหาในด้านต้นทุนการผลิตและตลาด โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ดังนั้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดมหาสารคาม โดยภาคประชาสังคม จึงได้มีการผนึกกำลังจากทุกหมู่เหล่าประกาศที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งเกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมที่จะปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2561-2564) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000,000 ไร่ ภายในปี 2564 โดยจังหวัดมหาสารคาม ได้กำหนดเป้าหมายการทำเกษตรกรรมยั่งยืนไว้ที่ 250,000 ไร่ โดยจะสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตจากพืชเชิงเดี่ยวไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืน อาทิ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสานเกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ และเกษตรกรรมรูปแบบอื่น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดำเนินการผลักดันเพื่อให้เกิดการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน โดยใช้กลไกการทำงานในระดับพื้นที่ จากภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ซึ่งหมายถึง ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนภาคการศึกษา และปราชญ์ชาวบ้านทุกระดับ ร่วมมือกันขับเคลื่อนเพื่อให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ
การประกาศเจตนารมณ์ "ขับเคลื่อนมหาสารคาม...สู่การเป็นเมืองหลวงแห่งเกษตรกรรมยั่งยืน" ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน ซึ่งเป็นผู้แทนจากทุกอำเภอ ประกอบด้วย เกษตรกรองค์กรจากเกษตรกร ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ทั้งระดับอำเภอและระดับจังหวัด เพื่อมารับฟังนโยบายและแนวทางในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน ตลอดทั้งประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนของจังหวัดมหาสารคาม สู่การเป็นเมืองหลวงแห่งเกษตรกรรมยั่งยืน
"ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกัน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตรัสว่า 'สามัคคีคือพลัง ค้ำจุนแผ่นดินไทย' ภาคเกษตรของไทยจะไปไม่รอด หากไม่มีการปรับตัว เนื่องจากปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจของโลกกำลังตกต่ำลงทุกขณะ ส่งผลให้อาหารโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ในขณะที่อาหาร และอากาศบริสุทธิ์ลดน้อยลงทุกที โดยปัจจุบันค่า GDP ไม่สามารถวัดคุณภาพชีวิตของประชากรได้ แต่สิ่งที่วัดได้ คือ มีอากาศบริสุทธิ์อยู่หรือไม่ ดังนั้น ระบบการผลิตทุกด้านจึงต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ทุกโรงพยาบาล ทุกโรงเรียน ทุกโรงแรม ต้องมีอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค โดยรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการทำเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ จังหวัดมหาสารคามจะเป็นเมืองหลวงแห่งเกษตรกรรมยั่งยืนได้ ด้วยการบูรณาการร่วมกันขับเคลื่อนเกษตรกรรมในทุกระดับพื้นที่ เน้นการลงมือทำ เพื่อผลักดันให้เกษตรกรรมของจังหวัดเกิดความยั่งยืนไปสู่ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป" นายวิวัฒน์ กล่าว