กรุงเทพฯ--21 ม.ค.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานปี 2550 เป็นไปตามแผนเพิ่มความแข็งแกร่งของงบดุลและปรับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเป้าหมายขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 โดยเริ่มต้นปี 2551 ด้วยการเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) ในเดือนมกราคม 2551 พร้อมประกาศแผนปี 2551 ตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจทุกด้าน ตั้งเป้าสินเชื่อสุทธิโต 8.8% หรือเพิ่มสุทธิ 39,000 ล้านบาท
หลังจากที่ในปี 2550 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ต้อนรับกลุ่มจีอี เข้ามาเป็นพันธมิตรธุรกิจ โดยเข้าถือหุ้นธนาคารในสัดส่วน 35% และธนาคารฯ ได้ประกาศแผนปี 2550 มุ่งเน้นปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ให้แข็งแกร่งเตรียมพร้อมรองรับการขยายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อย ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ธนาคารตั้งเป้าหมายให้เติบโตรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา แถลงว่า ปี 2550 ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างพื้นฐานเสร็จสิ้นตามแผนและพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตในปี 2551 โดยในแง่ของผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4/2550 แม้ว่าธนาคารจะได้ดำเนินการตั้งสำรองฯ ตามการตีมูลค่าตลาด (mark-to-market) เงินลงทุนใน CDO (Collateralised Debt Obligations) และตราสารที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 640 ล้านบาท ธนาคารยังมีกำไรก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี 1,550 ล้านบาท และหลังตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี 580 ล้านบาทในบริษัทในเครือ ธนาคารมีกำไรสุทธิ 970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 3,700 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2550 ตามงบการเงินรวม ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี) จำนวน 8,500 ล้านบาท และเมื่อหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีจำนวน 12,360 ล้านบาท และ 120 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ปี 2550 ธนาคารมีผลขาดทุนสุทธิ 3,990 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การตั้งสำรองฯ จำนวนสูงดังกล่าวทำให้งบดุลของธนาคารมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและครบถ้วนตามเกณฑ์ IAS 39
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2550 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ธนาคารมุ่งเน้นดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเตรียมรองรับการเติบโตในอนาคตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะต้องทุ่มเทเวลาและกำลังคนไปในการปรับกระบวนการทำงานและโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารก็ยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจสามารถมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี) ได้ถึง 8,500 ล้านบาท ส่วนผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากสาเหตุหลักคือการตั้งสำรอง ฯ จำนวน 11,500 ล้านบาทที่ธนาคาร”
นายตัน คอง คูน กล่าวต่อไปว่า “การชะลอตัวของธุรกิจในปี 2550 นั้นเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เนื่องจากธนาคารมุ่งให้ความสำคัญกับกิจกรรมในการผสานธุรกิจ อย่างไรก็ตามธนาคารสามารถชดเชยปริมาณธุรกิจที่ชะลอลงด้วยความพร้อมสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Inorganic Growth) เช่นการเข้าซื้อธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของ GECAL ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคมนี้”
สำหรับปี 2551 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตั้งเป้าหมายขยายสินเชื่อในส่วนของธนาคารเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 39,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 8.8% จากฐานสินเชื่อ โดยแบ่งเป็นเป้าหมายขยายสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตสุทธิประมาณ 11,000 ล้านบาท สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME เติบโตสุทธิประมาณ 12,000 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อยเติบโตสุทธิประมาณ 16,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายค่าธรรมเนียมจากการบริการซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 26%
“จากหลายสิ่งที่เราได้ดำเนินการในปี 2550 ทำให้มั่นใจว่าพื้นฐานที่ดีที่เราสร้างขึ้นมาเหล่านั้นจะทำให้ธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายธุรกิจที่วางไว้สำหรับปี 2551” นายตัน คอง คูน กล่าวในที่สุด
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ตามงบการเงินรวม ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 652,400 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อ 450,100 ล้านบาท และเงินฝาก 499,600 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 20.30% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) 15.62%