กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดตัวโครงการ "เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่" เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 ซึ่งกระทรวงการคลังดำเนินการร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ และเปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนคนไทยที่มีความพร้อมหันมาช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกว่า โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะสามารถรองรับการเป็นสังคมสูงวัยของประเทศและจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมได้ในระยะยาว โดยกระทรวงการคลังขอเชิญชวนให้ผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพอยู่ในปัจจุบันและมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มาบริจาคเบี้ยยังชีพที่ตนได้รับ เพื่อนำไปจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย จำนวนกว่า 4.6 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือ 3.9 ล้านคนอยู่ในภาวะยากจนและมีความเป็นอยู่อย่างขัดสน จำนวน 2 ล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จำนวน 1.4 ล้านคนเป็นผู้มีหนี้สิน และจำนวน 3.4 แสนคนเป็นผู้พิการ ซึ่งจะเห็นว่าประชาชนกลุ่มนี้มีความเดือดร้อนและสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับความช่วยเหลือดูแลโดยเร่งด่วน และที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดกระบวนการรับเงินบริจาคและส่งเงินให้แก่ผู้มีสิทธิอย่างเป็นระบบ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านคน เป็นผู้ที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 9 ล้านคน และเป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 4.6 ล้านคน จะเห็นว่ามีผู้ที่มีศักยภาพที่จะเสียสละบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของตนให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน จำนวนกว่า 4 ล้านคน โดยกระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ ให้ธนาคารเป็นช่องทางในการรับแจ้งบริจาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะบริจาค รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ให้การบริจาคเบี้ยยังชีพเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า นอกจากธนาคารสมาชิกจะเป็นหน่วยรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพแล้ว สมาคมธนาคารไทยมีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์โครงการฯ โดยสนับสนุนการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และช่องทางการประชาสัมพันธ์ผ่านธนาคารสมาชิกทั้งหมด 15 แห่ง ได้แก่ การจัดทำโปสเตอร์เพื่อเผยแพร่ ณ สาขาของธนาคารสมาชิก และประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านหน้าจอเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) รวมถึงช่องทางอื่นๆ ที่ธนาคารมีอยู่ โดยในเบื้องต้นได้กำหนดเป้าหมายให้มียอดการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2562 หรือในช่วงระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้
นายฉัตรชัย ศิริไล ประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า สภาสถาบันการเงินของรัฐ ยินดีให้ความร่วมมือในการเป็นหน่วยรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพ และประชาสัมพันธ์โครงการผ่านช่องทางต่างๆ ของสถาบันการเงินของรัฐ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าการสร้างจิตสำนึกในเรื่องนี้จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ธอส. ได้สนับสนุนการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น หนังสั้นสะท้อนสังคม ที่จะนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะในระยะต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเชิญชวนให้ผู้รับเบี้ยยังชีพที่มีฐานะมั่นคงนำบัตรประจำตัวประชาชนไปแจ้งบริจาคได้ที่สาขาของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐ สำนักงานเขต เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานเมืองพัทยา กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด โดยผู้ที่แจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2562 จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเหรียญพระคลังเชิดชูเกียรติ และสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ผู้สูงอายุสามารถตรวจสอบสถานะการรับเบี้ยยังชีพได้ที่สำนักงานเขต เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และสำนักงานเมืองพัทยา
สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3688
โทรสาร 0 2273 9987