กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) เปิดศูนย์รวบรวมติดตามข้อมูลฝุ่นผ่านอาสาสมัครสม็อคแมน (SMOG Man) เพื่อตรวจวัดและการบริหารจัดการคุณภาพอากาศพื้นที่สาธารณะในกทม. ด้วยเรื่องตรวจวัดสภาพอากาศแบบเรียลไทม์เฉพาะจุดที่หวั่นอาจทำลายสุขภาพเด็กและเยาวชน นำร่องวางแผนรับมือฝุ่นในสถานศึกษา พร้อมสร้างแบบจำลองระดับคุณภาพอากาศในพื้นที่สาธารณะของกรุงเทพฯ เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองในอนาคต นอกจากนี้ สจล. ยังได้เสนอแนวคิดผสานพลัง 3 ภาคส่วน ผู้ประกอบการ กรุงเทพฯ ภาครัฐ จัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ต้นเหตุ 1. ลดกิจกรรมฝุ่นในเขตมลพิษ 2. กทม. ตรวจเข้มยานพาหนะก่อฝุ่น และ 3. ภาษีฝุ่นหยุดมลพิษเพื่อลดภาระสุขภาพประชาชน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์ สจล. หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8111 เว็บไซต์ www.kmitl.ac.th หรือ www.facebook.com/kmitlnews
ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กล่าวว่า ในขณะนี้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในหลายพื้นที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานขั้นวิกฤติ จากสาเหตุหลักมาจากการปล่อยควันเสียจากเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการก่อสร้าง เช่น ควันจากท่อไอเสียรถ การจราจรขนส่ง รวมถึงเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง ผนวกการคาดการณ์ของแอปพลิเคชั่น "WMApp" นวัตกรรมพยากรณ์อากาศความละเอียดสูงสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป พบว่า สภาพอากาศปิดและลมสงบ ส่งผลให้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ได้เสนอแนวคิดผสาน 3 ภาคส่วน ผู้ประกอบการ กรุงเทพฯ ภาครัฐ ร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ผ่านความร่วมมือจัดการต้นเหตุของปัญหา มีดังนี้
1. ลดกิจกรรมฝุ่นในเขตมลพิษ ประสานความร่วมมือผู้ประกอบการที่ดูแลโครงการก่อสร้างต่างๆ ในเขตพื้นที่มลพิษทางอากาศวิกฤติ ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและส่งผลกระทบต่อชุมชนในบริเวณโดยรอบน้อยที่สุด เช่น มีตาข่ายกันพื้นที่ก่อสร้างเพื่อดักจับฝุ่นละออง หรือชะลอโครงการอ่กสร้างในช่วงที่สภาพอากาศมีความเสี่ยงที่จะเกิดค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ทั้งนี้ แนะให้ติดตามการคาดการณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบปัญหาวิกฤติฝุ่นละออง PM 2.5 จำเป็นต้องป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 ที่มีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ และควรหมั่นเปลี่ยนชิ้นใหม่ทุกวัน หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในโรงเรียนต่างๆ ควรประกาศให้ยกเลิกกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
2. กทม. ตรวจเข้มยานพาหนะก่อฝุ่น กรุงเทพมหานครควรจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการทำงานตามพื้นที่ก่อสร้างต่างๆ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังขึ้นอยู่หลายโครงการ เพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศให้ไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด และดำเนินการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด รวมถึง การตรวจสภาพเครื่องยนต์ยานพาหนะขนส่งสาธารณะและยานพาหนะอื่นๆ ในสังกัด กทม. ให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม การปรับแต่งรถให้ลดการปล่อยก๊าซพิษ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเก่าที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ อันเป็นสาเหตุของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทั้งนี้ การบริหารจัดการระบบยานพาหนะของกทม. ควรใช้ระบบการเช่ารถมากกว่าการจัดซื้อ เนื่องจากมีความคุ้มค่าในเรื่องการบำรุงรักษา และมุ่งปรับเปลี่ยนยานพาหนะของกทม. สู่การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเขตเมือง เนื่องจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
3. ภาษีฝุ่นหยุดมลพิษเพื่อลดภาระสุขภาพประชาชน สำหรับภาพรวมรัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการคัดกรองรถที่วิ่งบนท้องถนน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้มงวดกวดขันกับรถปล่อยมลพิษควันดำระหว่างการขับขี่ รวมถึงแนวคิดการใช้ภาษีสิ่งแวดล้อมเข้ามาจูงใจให้ทั้งผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลก ได้มีการจัดเก็บภาษีด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ผ่านการเก็บภาษีมลพิษและการอนุญาตปล่อยมลพิษ สำหรับประเทศไทย อยู่ในขั้นตอนการเสนอมาตรการเรียกเก็บภาษีมลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ สิ่งปฏิกูล และอีกหลายมาตรการที่มีแผนจะออกมาบังคับใช้ในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาล จะต้องยกปัญหาวิกฤติฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขในเชิงรุก และไม่ผลักภาระของต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพไปให้ประชาชนต้องรับปัญหา
ทั้งนี้ สจล. โดยสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) และสถาบันนวัตกรรมชุมชนอัจฉริยะ (ISCI) ได้จัดตั้งศูนย์รวบรวมติดตามข้อมูลมลพิษทางอากาศผ่านอาสาสมัครสม็อคแมน (SMOG Man) เพื่อตรวจวัดและการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ ด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสภาพอากาศแบบเรียลไทม์เฉพาะจุด เพิ่มความแม่นยำในการพัฒนาระบบการตรวจวัดฝุ่นละอองในแต่ละที่ตั้งเป้านำร่องสถานศึกษาทั่วกรุงเทพฯ รวมทั้ง การสร้างตัวแบบในการพัฒนาเมืองรองรับการเจริญเติบโตในอนาคต รองรับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งข้อมูลการรายสถานการฝุ่นละลองจะได้รับการรายงานเรียลไทม์ผ่านเฟซบุ๊ค SCiRA KMITL โดยสถานศึกษาและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปรับข้อมูลได้ตลอดเวลา สะท้อนบทบาทของ สจล. ที่ไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยเสมอมา ดร. สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์ สจล. หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8111 เว็บไซต์ www.kmitl.ac.th หรือ www.facebook.com/kmitlnews