กรุงเทพฯ--22 ม.ค.--แสนสิริ
กลุ่มบริษัทแสนสิริ เผยผลการรุกตลาดที่อยู่อาศัยปี 2550 เติบโตตามแผนสู่ผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่ง หลังบุกตลาดที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร สร้างยอดขายรวมเกือบ 20,000 ล้านบาท สานต่อกลยุทธ์ขยายโปรเจกใหม่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์อีก 15 โครงการ รวมแผนปี 2551 มีโปรเจกรองรับการขยายธุรกิจทั้งสิ้นอย่างน้อย 54 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายรวมปีหนูอีก 20,000 ล้านบาท ในขณะที่ตุนยอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) สูงสุดในระบบถึง 21,500 ล้านบาท รองรับรายได้ช่วง 1-3 ปี ระบุเน้นขยายการลงทุนอย่างมีวินัย และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายรับให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในปี 2550 นั้น กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ ได้มีการขยายการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 54 โครงการ ซึ่งแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 4,300 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่สูงในอันดับต้นๆ ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
“ ในปี 2551 นี้ กลุ่มบริษัทแสนสิริจะยังคงใช้กลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ครบวงจร โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อย่างน้อย 15 โครงการ ในทำเลที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย มูลค่าโครงการขายประมาณ 15,300 ล้านบาท เมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ต่อเนื่องจากปีก่อน กลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือจะมีโครงการที่อยู่อาศัยรองรับการขายในปี 2551 อย่างน้อย 54 โครงการ ส่วนประมาณการยอดขายรวมสำหรับปี 2551 ไว้ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว
ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแสนสิริมีการประกาศอย่างชัดเจน ในการรุกสู่ความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ด้วยการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ที่ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกประเภทและทุกระดับราคา โดยแสนสิริดำเนินการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับกลาง ถึงระดับพรีเมี่ยม ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรร ในขณะที่ให้บริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัทพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับลูกค้าระดับกลางถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไป อาทิ โครงการคอนโดวัน และมายด์คอนโด รวมถึงโครงการทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่ ทาวน์พลัส
นอกจากนี้ยังมีบริษัทพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับราคา 1.85 -2.5 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านพร้อมพัฒน์ รามอินทรา และโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ กรีนโนวา รามอินทรา รวมถึงบริษัทเรดโลตัส ที่พัฒนาโครงการที่พักอาศัยตากอากาศทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในพื้นที่ตากอากาศในอำเภอหัวหิน เป็นต้น ซึ่งทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
สำหรับแผนการขยายโครงการใหม่ในปี 2551 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ อีก 15 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร 5 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 6 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 5,800 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 3,500 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้นประมาณ 15,300 ล้านบาท
นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ นอกเหนือจากการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรแล้ว ยังมีปัจจัยที่สำคัญด้านอื่นๆ ด้วย อันได้แก่ การที่ปัจจุบันกลุ่มบริษัทแสนสิริและบริษัทในเครือ มียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1-3 ปี ประมาณ 21,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบในขณะนี้ ที่จะเป็นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนอย่างมีวินัยทางการเงิน และระมัดระวังในด้านการพึ่งพาการกู้เงินให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายรับให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้นด้วย