กรุงเทพฯ--22 ม.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จัดงานแถลงข่าว "ทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัท ปี 2551" ตอกย้ำความสำเร็จจากโมเดลการทำธุรกิจที่แตกต่าง ทำให้ที่ผ่านมาโตมากกว่า 100% ทั้งส่วนแบ่งการตลาด, จำนวนลูกค้าและ AUM มั่นใจโตอย่างต่อเนื่อง
คุณรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการดำเนินงานของบริษัทในปี 2550 ว่า จากโมเดลการทำธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ภายใต้แนวคิดการดำเนินงานร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทยอย่างใกล้ชิด ทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายเร็วเกินคาด โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถโตได้มากกว่า 100 % มีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.06 % เพิ่มจาก 0.51% ในปีที่ผ่านมา สำหรับในเดือนธันวาคม 2550 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 1.7% อยู่ในอันดับที่ 25 จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 2,700 บัญชีเป็นกว่า 6,000 บัญชี AUM เพิ่มขึ้นจาก 3,400 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 8,100 ล้าน ณ สิ้นปี 2550 ในขณะที่ด้านวาณิชธนกิจได้แชมป์ที่ปรึกษาการระดมทุนโดยมี 3 ดีล คือ MBAX, Gold และ DTAC มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 95,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
ทั้งนี้ ในปี 2551 บริษัทจะยังคงเน้นโมเดลการทำธุรกิจที่แตกต่าง โดยเน้นการทำงานร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทย ทั้งในส่วนของฐานลูกค้าของธนาคารซึ่งที่ผ่านมาธนาคารก็ได้แนะนำลูกค้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทจำนวนมาก ทำให้ฐานลูกค้าของบริษัทในปัจจุบันมีกว่า 6,000 บัญชี ซึ่งอาจจะดูว่ามีจำนวนมากแล้วแต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับฐานลูกค้าที่มีศักยภาพในการลงทุนของธนาคารที่มีกว่า 110,000 ราย ซึ่งด้วยแผนการทำ Synergy ร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทยอย่างเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจลูกค้าของสาขาธนาคารและแนะนำผ่านระบบการแนะนำลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องดังจะเห็นได้จากการที่ธนาคารเริ่มโครงการ K-WePlan เจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับการคัดสรรและพัฒนาเพื่อให้บริการได้บนมาตรฐานของเครือธนาคารกสิกรไทย และบทวิเคราะห์ที่มีข้อมูลสนับสนุนทั้งด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค ตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับฐานลูกค้าเงินฝาก จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
สำหรับภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2551 คุณรพีกล่าวว่าจะมีความผันผวนมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าการเมืองในประเทศจะมีความชัดเจนขึ้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงว่าจะเข้าสู่ภาวะหดตัว จะมีผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย อีกทั้งราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น นักลงทุนจะต้องมีเครื่องมือที่ใช้บริหารความเสี่ยงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและลง ได้แก่ TFEX, การทำ Short-sell และ SBL ซึ่งบริษัทจะให้บริการเพิ่มเติมในปีนี้
คุณณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2550 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 350 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 72 ล้าน ซึ่งเป็นการทำได้เกินเป้าหมายของทั้งสายงานนายหน้าค้าหลักทรัพย์และสายงานวาณิชธนกิจ ทำให้บริษัทมีกำไรเร็วกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ 1 ปี มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นจากประมาณ 3 % เป็น 10% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของบริษัท และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลต่อนักลงทุนสถาบันอยู่ที่ 70 :30
ในส่วนของนักลงทุนบุคคล ปัจจัยที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จและยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญต่อไป ได้แก่ การเพิ่ม Efficiency ratio ของเจ้าหน้าที่การตลาด โดยเพิ่มจาก 2.95 ล้านบาทต่อวันต่อคนในปี 2549 เป็น 5.22 ล้านบาทต่อวันต่อคน ในปี 2550 และการเพิ่ม Active Ratio ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 31% มากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 21 % ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความเข้าใจความต้องการของลูกค้าของเจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีตลอด 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ประกอบกับการเข้าถึงฐานลูกค้าของเครือธนาคารซึ่งมีอยู่จำนวนมากอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการให้บริการไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ (TFEX) บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ( SBL) อีกด้วย
สำหรับนักลงทุนสถาบันเองก็ให้ความไว้วางใจกับบริษัทเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากบทวิเคราะห์ที่มีข้อมูลครบถ้วนทั้งเศรษฐกิจมหภาค ข้อมูลตลาดตราสารหนี้และตลาดทุน และเจ้าหน้าที่การตลาดลูกค้าสถาบันที่มีครบทีมแล้วในปีที่ผ่านมา โดยลูกค้าสถาบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 14 สถาบันเป็น 18 สถาบัน ทำให้สัดส่วน ของนักลงทุนสถาบันเพิ่มจากเดิมที่ 19% เป็น 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตามแผนที่วางไว้สัดส่วนนักลงทุนสถาบันจะเพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งนี้ การที่บริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดติด 1 ใน 5 นั้นจะต้องให้ความสำคัญกับนักลงทุนทั้งสองกลุ่ม
ในส่วนของการให้บริการในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในปีที่ผ่านมาถือเป็นการประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจากการทำงานในรูปแบบ Seamless Integration กับธนาคารกสิกรไทย โดยบริษัทได้เป็นแชมป์ที่ปรึกษาการระดมทุนปี 2550 โดยมีมูลค่าระดมทุนกว่า 95,500 ล้านบาท โดยในปัจจุบันมีงานที่อยู่ใน Pipeline ประมาณ 8 งาน ประกอบด้วยงานในส่วนของ IPO 4 งาน มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท และการเป็นที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ อีกประมาณ 4 งาน
ทั้งนี้ คุณณัฐรินทร์ได้กล่าวย้ำว่า จุดแข็งของบริษัทยังคงเป็นแนวทางการทำธุรกิจอย่างแตกต่างบนมาตรฐานเครือธนาคารกสิกรไทย โดยเน้นการทำงานเป็นทีมร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทย ทั้งในส่วนของฐานลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงคุณภาพของบทวิเคราะห์