กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--บีซีพีจี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2561 มีกำไรสุทธิ 2,219 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 25 มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งผลการดำเนินงานที่ดีในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น และรับรู้ผลกำไรเต็มปีจากโครงการในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 67 และกำไรต่อหุ้นที่ 1.11 บาท เทียบกับอัตรากำไรสุทธิของปี 2560 ที่ร้อยละ 53.4 และกำไรต่อหุ้นที่ 0.89 บาท พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาทต่อหุ้น รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,278 ล้านบาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจใน ปี 2561 บริษัทฯ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการจำหน่ายสินทรัพย์โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการให้แก่กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทย กำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 4 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,320 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยโดยรวมดีขึ้นจากปี 2560 เล็กน้อย หรือร้อยละ 1 อยู่ที่ 2,869 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 6 คิดเป็น 451 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการขายสินทรัพย์ของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานส่งผลให้ไม่มีการบันทึกรายได้ในไตรมาสที่ 4/2561 อย่างไรก็ตาม การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโกเต็มบะในช่วงไตรมาสที่ 2/2561 ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปี 2561 ได้ในบางส่วน
สำหรับการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลม (ก่อนการหัก amortization) เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบาทเป็น 73 ล้านบาท ในปี 2560 มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มปีเป็นปีแรก เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีการรับรู้เพียง 7 เดือน และทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 144 เป็น 46 ล้านหน่วย (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) ทั้งนี้ ปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลจากค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 37 จากร้อยละ 30 ในปี 2560 โดยปัจจัยสนับสนุนความสามารถในการผลิตไฟฟ้ามาจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีต่อเนื่อง จากการที่มีพายุพัดผ่านเข้ามายังบริเวณที่ตั้งโครงการ อาทิ ดีเปรสชั่นเขตร้อน มรสุมและไต้ฝุ่นในระหว่างปี
ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2561 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 129 หรือ 761 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานเต็มปีเป็นปีแรก เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีการรับรู้เพียง 5 เดือน ซึ่งทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 145 มาอยู่ที่ 1,250 ล้านหน่วย (ตามสัดส่วนการถือหุ้น)
ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,219 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2560 เป็นจำนวน 445 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 จาก 1,774 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้า IFF ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งผลการดำเนินงานของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ดี โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ ร้อยละ 67 และกำไรต่อหุ้นที่ 1.11 บาท
ณ สิ้นปี 2561 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 31,557.9 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 16,416 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.4 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย โดย ณ สิ้นงวด อยู่ที่ 15,567 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.6 จากสิ้นปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน หลังจากการจำหน่ายสินทรัพย์โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นเข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2561 จำนวน 2,028 ล้านบาท
สำหรับในปี 2562 นี้ บริษัทฯ จะยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์คือโครงการลมลิกอร์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์) ในไตรมาสที่ 2/2562 และโครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาดที่บริษัทได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เป็นผู้ติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนพื้นที่หลังคากำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปลายปี 2562 ในขณะที่แผนการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นนั้น บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการทำการตลาดกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงมากขึ้น เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงให้บริการการจัดการด้านพลังงานหรือ energy as a service นำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยในปีนี้ คาดว่าจะใช้งบลงทุนสำหรับการขยายกิจการใหม่และโครงการที่มีอยู่เดิมรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้นในการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2561 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม - 30 กันยายน 2561 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2561 รวมอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินรวมประมาณ 1,278 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 มีนาคม 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2562 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 5 มีนาคม 2562 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในวันที่ 9 เมษายน 2562 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท