กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--ซีเค พาวเวอร์
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "CKP" หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าพลังน้ำ พลังความร้อนร่วม และพลังแสงอาทิตย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รายงานผลประกอบการปี 2561 มีรายได้เติบโตกว่า 30% และกำไรสุทธิพุ่ง 277% จากปีก่อน สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบต่อเนื่อง สะท้อนศักยภาพการดำเนินงานในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าเดินหน้าจ่ายไฟเข้าระบบจากโรงไฟฟ้าลูกเพิ่มอีก 2 แห่ง พร้อมเดินหน้าตามแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์อีก 1,291.75 เมกะวัตต์ ภายในไตรมาส 4 ปี 2562 นี้
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP เปิดเผยว่า ปี 2561 ที่ผ่านมา เป็นปีที่บริษัทสามารถทุบสถิติสร้างนิวไฮทั้งรายได้และกำไร สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปีก่อนเป็น 9,115 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของรายได้การขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ซึ่งปีที่ผ่านมาเป็นปีที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดในรอบ 70 ปี รวมทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 เต็มปี ยิ่งไปกว่านั้น โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ยังได้มีการออกหุ้นกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้กำไรสุทธิของ CKP สำหรับปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 599 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตที่สูงขึ้นถึง 277% จากปีก่อน
ในปีที่ผ่านมานี้ บริษัทฯ ได้เข้าทำการลงทุนเพิ่มใน บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ("XPCL") ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี อีกร้อยละ 7.5 ของทุนจดทะเบียน โดยมีมูลค่าลงทุนเพื่อซื้อหุ้นดังกล่าวรวมที่ 2,065 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน XPCL อยู่ที่ร้อยละ 37.5 ช่วยเสริมให้ผลประกอบการในอนาคตมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ณ สิ้นปี 2561 การก่อสร้างโครงการคืบหน้าไปแล้ว 97% คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2562
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาและบนพื้นดิน เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชน จำนวน 6 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 6.75 เมกะวัตต์ เริ่มทยอยก่อสร้างตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2561 โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ได้มีการจ่ายไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบการแล้ว 1 โครงการ ที่ขนาดกำลังการผลิต 0.9 เมกะวัตต์ และอีก 5 โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ครบทั้งหมดในปี 2562
"ผลประกอบการของปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของประเทศและในภูมิภาคอาเซียน และยังคงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน (Sustainable) ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and Environmental Responsibility) รวมทั้งยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศเพื่อสนับสนุนเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งที่ 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568" นายธนวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2561 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.028 บาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน โดยจะมีการเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
อนึ่ง CKPower ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company และลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่างๆ 3 ประเภท จำนวน 13 โครงการ รวมขนาดกำลังผลิตที่ 2,167 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ 2 โครงการ ได้แก่ บริษัท โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด ถือหุ้น 42% ( ถือผ่าน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด ) ขนาดกำลังการผลิต 615 เมกะวัตต์ และ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด ถือหุ้น 37.5% ขนาดกำลังผลิต 1,285 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) จำนวน 2 โครงการ ภายใต้ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ถือหุ้นอยู่ 65% ขนาดกำลังผลิต 238 เมกะวัตต์
และ โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ 9 โครงการ ภายใต้ บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) ถือหุ้น 100% จำนวน 7 โครงการ ขนาดกำลังผลิต 15 เมกะวัตต์ บริษัท เชียงรายโซล่าร์ จำกัด (CRS) ถือหุ้น 30% ขนาดกำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ และ บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด (NRS) ถือหุ้น 30% ขนาดกำลังผลิต 6 เมกะวัตต์