กรุงเทพฯ--22 ก.พ.--IR PLUS
"ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์" วางเป้าหมายรายได้ปี 62 ขยายตัว 15-20% ชูแผนเพิ่มสัดส่วนส่งออกรับอานิสงส์รัฐและเอกชนในภูมิภาคอาเซียนเร่งขยายการลงทุน เตรียมนำโมเดลธุรกิจในเวียดนามต่อยอดสู่มาเลเซียและอินโดนีเซีย คาดดันสัดส่วนส่งออกปีนี้แตะ 9% เปรยมีลุ้นโตก้าวกระโดดหากปรับสัดส่วนการผลิตหันรับงานโออีเอ็มเพิ่ม ดึงออเดอร์ไหลเข้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หากสงครามการค้ายืดเยื้อ เผยผลประกอบการปี 61 กำไรโต 90% สะท้อนการบริหารจัดการเยี่ยมเสริมศักยภาพการทำกำไร ด้านบอร์ดชงจ่ายปันผล 0.16 บาท
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้ารวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2562 บริษัทฯ จะเน้นการส่งออกเพิ่มขึ้น เบื้องต้นตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มเป็น 9% จากปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 5.5% โดยเบื้องต้น บริษัทฯ มีสัดส่วนส่งออกหลักในประเทศเมียนมาร์และประเทศเวียดนาม โดยล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดบริษัทย่อย คือ Lighting & Equipment (Vietnam) Co., Ltd. อย่างเป็นทางการซึ่งนอกจากจะผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแสงสว่างในประเทศเวียดนามแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ยังนำไปจำหน่ายสู่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทยด้วย
ในปี 2562 ของ Lighting & Equipment (Vietnam) Co., Ltd. วางแผนผลิตโคมไฟกล่องเหล็กสำหรับใช้ในบ้านอยู่อาศัย โรงงาน และอาคารพาณิชย์ ทั้งนี้เพราะสามารถผลิตโคมไฟดังกล่าวได้ถูกกว่าในประเทศไทย เพราะค่าแรงและวัตถุดิบที่ถูกกว่า ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าการผลิต 500,000 โคมต่อปี สำหรับจำหน่ายในประเทศเวียดนาม 50% และที่เหลือสำหรับจำหน่ายในประเทศไทย สำหรับโคมไฟนวัตกรรมใหม่อื่นๆ ที่มีความซับซ้อนกว่าก็ยังนำเข้าจากประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศเวียดนามต่อไป
เป้าหมายผลประกอบการปี 2562 บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 15-20% ปัจจัยสนับสนุนมาจากการรุกตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายของงานโครงการในประเทศก็เชื่อมั่นว่าจะปรับเพิ่มขึ้น จากอานิสงส์การเร่งลงทุนของภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าตลาดค้าปลีก (consumer) น่าจะทรงตัว หรือมีการเติบโตที่ค่อนข้างน้อย
สัดส่วนรายได้ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีรายได้จากงานโครงการ 68-69% และค้าปลีก 25-26% และที่เหลือคือรายได้จากการส่งออก ขณะที่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ทั้งสิ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2562
นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มว่า นอกจากการเติบโตตามแผนแล้ว บริษัทฯ ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการปรับสายการผลิตไปสู่การรับจ้างผลิตชิ้นส่วน (OEM) เพิ่มขึ้น รองรับออเดอร์ที่คาดว่าย้ายฐานการผลิตมาสู่ภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่สหรัฐและจีนเพิ่มเงื่อนไขในการทำการค้าระหว่างกัน โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 บริษัทฯ มีอัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 60% ซึ่งยังมีส่วนต่างกำลังการผลิตเหลือสำหรับการรับจ้างผลิตได้
"เชื่อว่าออเดอร์จะไหลเข้ามาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทฯ จะเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้จ้างผลิต เนื่องจากเครื่องจักรในการผลิตมีศักยภาพสูง สายการผลิตก็มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานโลก สะท้อนได้จากการได้รับงานรับจ้างผลิตสินค้าเกรดพิเศษจากลูกค้าประเทศญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง หากบริษัทฯสามารถดึงออเดอร์เข้ามาได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด" นายปกรณ์กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงาน สำหรับงวดปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ จำนวน 2,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 14% เป็นผลจากงานโครงการได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% งานค้าส่ง/ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 8% และงานส่งออกเพิ่มขึ้น 12% การเพิ่มขึ้นของงานโครงการเป็นผลจากการก่อสร้าง และปรับปรุงศูนย์การค้าและร้านค้าต่างๆ ที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีสินค้าที่ได้ติดตั้งในงาน turnkey จำนวนหนึ่งต้องเลื่อนส่งมอบงานและรับรู้รายได้ในไตรมาสต่อไปก็ตาม
ส่วนการเพิ่มขึ้นของงานขายส่ง/ขายปลีกเป็นผลจากยอดขายในร้าน Lighting Solution Center ของบริษัทฯ ที่ถนนรัชดาภิเษกและถนนราชพฤกษ์ได้ปรับตัวดีขึ้น สำหรับการเพิ่มขึ้นของงานส่งออกนั้น เป็นผลจากการขยายตัวของตลาดในประเทศมาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา แม้จะมีลูกค้างานโครงการบางรายในประเทศเมียนมาร์และประเทศเวียดนามขอให้เลื่อนส่งมอบสินค้าไปเป็นต้นปีหน้าก็ตาม
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับงวดปี 2561 จำนวน 116.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 55.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 90% เป็นผลจากกำไรเบื้องต้นรวมรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 158.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19% เนื่องจากรายได้จากการขายและให้บริการที่สูงขึ้นและอัตรากำไรเบื้องต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 31.4% ในปี 2560 เป็น 32.9% ในปี 2561 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 85.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามยอดขายที่สูงขึ้น และในปีนี้มีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเปิดบริษัทย่อยในประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการตลอดจนการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเชีย รวมทั้งผลจากการปรับเงินเดือนประจำปี และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 17.5 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.16 บาทต่อหุ้น วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 3 พ.ค. 2562 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 23 พ.ค. 2562 โดยบริษัทจะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 25 เม.ย.2562 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว