กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น
บมจ. คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) แจกข่าวดีการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สั่งซื้ออุปกรณ์สวิตซ์ตัดตอนไฟฟ้า 115 kV จากบริษัทฯ จำนวน 26 ชุด มูลค่ารวม 88.85 ล้านบาท "สมพงษ์ กังสวิวัฒน์" ระบุเป็นการต่อยอดธุรกิจ ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และหนุนรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น เผยต่อจากนี้จะเดินหน้าผลักดันธุรกิจ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมลุยยื่นประมูลบิ๊กโปรเจ็กอีกเพียบ โดยตั้งเป้ารายได้ปีนี้ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10 % หรือ 5,000 ล้านบาท
นายสมพงษ์ กังสวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CSS เปิดเผยว่า การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ) ได้พิจารณาตกลงซื้อ อุปกรณ์สวิตซ์ตัดตอนไฟฟ้า 115 kV Load Break switch 2,000 A with Battery จำนวน 26 Sets จากบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 88,857,080 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
"จากการที่บริษัทได้รับการพิจารณาสั่งซื้ออุปกรณ์สวิตซ์ตัดตอนไฟฟ้า 115 kV จากกฟน. แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในศักยภาพของบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ผ่านคุณสมบัติจากการพิจารณาจาก กฟน. และในโอกาสนี้ ขอบคุณ กฟน.ที่ให้ความไว้วางใจบริษัทฯ ในการพิจารณาสั่งซื้อสินค้าในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าโครงการดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่าย เพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ในส่วนบริษัทฯเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนให้ ผลการดำเนินงานอนาคตเติบโตยิ่งขึ้น" นายสมพงษ์กล่าว
เขากล่าวต่อว่า ปีนี้ทิศทางธุรกิจของบริษัทฯ มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยมีตัวแปรที่สำคัญจากการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม โดยบริษัทฯถือหุ้น 25% จำนวน 2 โครงการ ขนาด 99.216 เมกะวัตต์ ของบริษัท Phu Khanh Solar Power Joint Stock Company (PKS) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้า เชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในเดือนมิถุนายน 2562 อีกทั้งยังรับรู้รายได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่สปป.ลาว โดยบริษัทถือหุ้น 38% ขนาด 5 เมกะวัตต์เข้ามาเต็มปี รวมถึงธุรกิจโทรคมนาคมและเทรดดิ้งที่มีการปรับตัวดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อบริษัทฯ ทำให้มีโอกาสได้งานใหม่ๆ และมีนัยสำคัญต่อการเติบโตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2562 จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หรือ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1,100 ล้านบาท และบริษัทยังคงเข้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นมากยิ่งขึ้น
อนึ่งบริษัทฯ แจ้งผลการดำเนินงานปี 2561 ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ จำนวน 171 ล้านบาท และมีรายได้รวมจำนวน 4,566 ล้านบาท พร้อมกันนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติ ให้จ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งหลังปี 2561 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดเพิ่มอีกในอัตรา หุ้นละ 0.06 บาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562